Wilson Audio Alexia
Price – USD$ 48,000
Wilson Audio เอ่ยชื่อนี้ นักเล่นทุกคน คงร้อง อ๋อ…
ไม่ว่า คุณจะชอบ หรือไม่ชอบ
ไม่ว่าคุณจะเห็นด้วย หรือไม่เห็นด้วย
ไม่ว่า คุณจะคิดว่า ราคาลำโพง แม่ม….. โคตรเว่อร์ หรือไม่ ?
แต่สิ่งหนึ่งก็คือ.. หากคุณเป็นนักเล่นเครื่องเสียง คุณจะทำเป็นเฉยเมยต่อ Wilson Audio ไม่ได้
ชื่อ ชั้น ตำนาน และ การเป็นที่ยอมรับในวงการเครื่องเสียง Hi-End นั้น ไม่ใช่สิ่งที่จะได้มาอย่างง่ายดาย ยิ่งการที่จะรักษาตำแหน่งของตัวเอง ทำให้ธุรกิจเดินต่อไปได้ ได้รับการยอมรับทั้งจากนักเล่น และ นักวิจารณ์ ยิ่งเป็นสิ่งที่ยากลำบากอย่างยิ่ง
เราได้เห็น ผู้ผลิตลำโพง Hi-End ล้มคว่ำ ไปต่อหน้าต่อตามากมาย บ้างก็ถึงขั้นล้มหายตายจาก บ้างก็เปลี่ยนเจ้าของ บางกรณีผู้ออกแบบดั้งเดิม เจ้าของเดิม ก็ถูกไล่ออกไปจากบริษัทของตัวเอง เพราะ.. เจ๊ง…
หลายบริษัทกลายเป็น คนทำของโหลๆ หายหน้าไปจากวงการ Hi-end ทำได้แค่อาศัยชื่อเสียงเก่าๆ หลอกแดก คนที่ไม่รู้เรื่อง
หลายบริษัท คนออกแบบอาจจะยังอยู่ แต่พอเปลี่ยนเจ้าของ มนต์สเน่ห์ในอดีต ก็หายไปหมดสิ้น กลายเป็นของห่วยๆ ที่ยังไม่มีใครกล้าด่า ก็เพราะชื่อเสียงเก่าๆที่สะสมไว้
แล้วอะไรทำให้ Wilson Audio ยังคง ขายลำโพงราคาสูง สูงมาก และ สูงฉิบหาย มาได้อย่างมั่นคง ยาวนาน ?
ตอบไม่ได้ครับ ตอบได้ ผมไปทำลำโพงแข่งกับ Wilson แล้ว อิ อิ 😛
และอะไร ที่ทำให้ ยังคงมีนักเล่นทั่วโลก ซื้อ ลำโพง Wilson Audio ไปประดับ system ของตัวเอง
และอะไร ที่ทำให้ พจน์ ซื้อ Wilson Audio Alexia มาใช้ ?
บทวิจารณ์ ลำโพง Wilson Audio Alexia ชิ้นนี้ จะบอกเล่าความคิด ความเห็น และ การวิจารณ์ แบบ พจน์ พจน์ ให้ พ่อ แม่ พี่ น้อง ฟัง ว่า เพราะอะไร พจน์ ถึงต้องมนต์สเน่ห์ แห่ง Wilson Audio ครับ
ความหลัง ฝังใจ
WAMM เป็นสิ่งแรกที่ทำให้ผมรู้จักชื่อ wilson กับลำโพงขนาดใหญ่ รูปร่างพิลึกพิลั่น แถมที่ฟังแล้วทำเอาผมงงคือ ใครก็ตามที่ซื้อ WAMM เจ้าของบริษัท จะตามมา setup ให้ทุกๆคู่ ไม่ว่าคุณจะอยู่ที่ไหนในโลก โอ.. อะแมซซิ่ง วิลสัน.. ผมก็ไม่รู้หรอกว่า เสียงมันดีไหม เคยเห็นแค่รูปที่ลงในนิตยสารเครื่องเสียงเท่านั้นเองว่า อย่างน้อยในเมืองไทย มีอยู่ 1 คู่
หลังจากนั้น ผมก็ได้เห็นแต่รูปของ Wilson audio ประปราย ส่วนใหญ่จะเป็นรุ่นดังคือ watt/puppy ตอนนั้นเท่าที่ผมคิด คือ ลำโพง อ่า.. อะไร แพงอิ๊บอ๋าย ไม่มีปัญญาซื้อ… อิ อิ 🙂 แต่ผมก็ยังอ่านข่าว ดูรูปไปเรื่อยๆ เหมือนหมาแหงนมองเครื่องบิน แล้วก็เห่าใส่บ้าง ในบางโอกาส….
ผมมาได้ฟัง wilson จริงๆ ก็ตอนที่ ไปงานโชว์ แล้ว KS world เอา wilson ไปโชว์ แต่กลายเป็นว่า ผมไม่เคยประทับใจ wilson เลย ตอนนั้น ผมจะชอบ ProAc response 4 มากเป็นพิเศษ และการที่เสียงของ wilson ฟังแล้ว ไม่เห็นจะมีอะไร แถมเบสยังคุมไม่ค่อยจะอยู่ จึงทำให้ความสนใจของผมต่อ wilson ลดลงอย่างมาก จนแทบจะเรียกได้ว่า ไม่สนใจมันเลย
แต่แล้ว อยู่มาวันหนึ่ง ผมได้มีโอกาสไปฟัง system ของนักเล่นท่านหนึ่ง ซึ่งมี watt/puppy ในห้องฟัง วันนั้นเป็นครั้งแรก ที่ผมฟัง Wilson แล้วผมรู้สึกชอบ รู้สึกว่า เฮ้ย… เสียงดีนี่หว่า…. เสียงที่ได้ยิน ทั้ง กลาง แหลม sounstage , image , detail ดีมากเลยครับ ที่สำคัญ ผมชอบมากที่มัน airy และ musical
คำว่า airy และ musical เป็นจุดอ่อน ประจำตัวของพจน์ จับไปนี่ พจน์จะอ่อนระทวย เป็นงูเหลือมโดนเชือกกล้วย ทีเดียว อิ อิ 🙂
อันนี้ จริงๆนะ แม้กระทั่งทุกวันนี้ เวลาไปงานโชว์เครื่องเสียง ชุดไหนที่เปิดอะไรก็ไม่รู้ เน้นอะไรก็ไม่รู้ เน้นเสียงให้ตื่นเต้น คมๆ ชัดๆ เน้นจนไม่เป็นธรรมชาติ เปิดอะไรที่มันไม่ใช่ดนตรีนี่ มันจะดึงความสนใจผมไว้ไม่ได้ แต่ถ้าชุดไหนที่เปิดเพลงที่เป็นธรรมชาติ แล้วให้นั่งฟังไปเรื่อยๆ ไม่ต้องโฉ่งฉ่าง พจน์จะนั่งฟังไปนิ่งๆทีเดียวเชียว….
และแล้ว ก็ในงานโชว์นี่เอง ที่ผมได้มีโอกาสฟัง Wilson Duette นี่คือจุดที่ทำให้ผมรู้สึกว่า ผมชักจะอยากซื้อลำโพง Wilson ทั้งกลาง แหลม sounstage , image และ แน่นอน airy และ musical และนั่นจึงเป็นที่มาของชื่อกระทู้ที่ว่า “Wilson Audio กำลังเข้ามาในหัวของผม”
อย่างไรก็ตาม ผมรู้ว่า Duette ไม่ใช่ลำโพงสำหรับผม เพราะมันให้ dynamic, impact อย่างที่ผมต้องการไม่ได้ เพราะ Duette เป็นลำโพงเล็ก ทาง Deco แนะนำว่า ทำไม ไม่เอา Sub-woofer ไปจับคู่กับ Duette ล่ะ แต่ผมเอง ไม่ชอบการจัดชุดแบบ Sat/Sub นัก ผมต้องการลำโพงขนาดใหญ่คู่เดียวเลยมากกว่า เพราะผมรู้สึกว่า setup ง่ายกว่า และมีความเสี่ยงในการ mismatch น้อยกว่ามาก
และ….. ผมรู้ว่า หลังจาก Alexandria XLF และ Duette ที่ Wilson มีการเปลี่ยน Tweeter และแนวทางใหม่ๆในการออกแบบลำโพง ผมรู้ว่า Wilson จะต้อง upgrade Sasha แน่นอน ไม่ช้าก็เร็ว ดังนั้น ในใจของผม จึงมองไปที่ Sasha W/P แล้วก็เฝ้ารอข่าวที่จะมาถึงผมแน่นอน….
เธอชื่อ Alexia
แล้วผมก็ได้ทราบข่าวของ Wilson Audio รุ่นใหม่… เปล่าไม่ใช่จากคนขาย แต่เป็นเพื่อนๆในบอร์ด ThaiAVclub นี่แหละ เธอชื่อ Alexia ครับ จึงเป็นเรื่องที่ผมคาดการณ์ผิด ที่คิดว่า Wilson จะปรับปรุงรุ่น Sasha W/P แต่กลับไม่ใช่ แต่เป็นการออกรุ่นใหม่ ที่เข้ามาแทรกช่องว่าง ระหว่าง Sasha กับ Maxx
จากที่เห็นรูปครั้งแรก ผมเข้าใจว่านี่เป็นรุ่นขยายของ Sasha แต่กลับไม่ใช่ครับ
ถึงแม้ รูปทรงภายนอก จะดูคล้ายๆว่า มีพื้นฐานมาจาก Sasha แต่จริงๆแล้ว Alexia เป็นการออกแบบใหม่หมด และด้วยแนวคิดที่ว่า มันจะเป็นลำโพงรุ่น Alexandria XLF ที่มีขนาดกระทัดรัด สามารถนำไปใช้ในห้องฟังที่มีขนาดเล็กได้ ระดับราคาของ Alexia จะเข้าไปอยู่ระหว่าง Sasha กับ Maxx และใช้เทคโนโลยี่ concept จากรุ่น Alexandria มาพัฒนาเป็น Alexia
แล้วอะไรบ้าง ที่ Alexia หยิบยืมแนวคิดมาจาก Alexandria XLF ?
Aspherical Propagation Delay
นี่เป็นสิ่งที่แยก Alexia ออกจาก Sasha เพราะการที่ midrange unit และ tweeter unit ของ Alexia สามารถปรับตำแหน่งได้ทั้งองศา และ ตำแหน่ง ในขณะที่ Sasha ไม่สามารถปรับได้โดยอิสระ แต่จะเป็นการปรับทั้ง midrange และ tweeter ไปพร้อมๆกัน และ ปรับตำแหน่งได้น้อยกว่ามาก
การปรับตำแหน่ง ของ Mid range unit และ Tweeter unit นี้ ทาง Wilson อ้างว่า จะเป็นการปรับ เฟส และ delay ของเสียง ให้ทำงานสัมพันธ์กันอย่างถูกต้อง ผลที่ได้คือ เสียงที่ นุ่มเนียน กระจ่างชัด มีรายละเอียด และ โปร่งใส ในขณะที่ผู้ออกแบบลำโพงจำนวนมาก จะออกแบบให้ตำแหน่งของ Mid และ Tweeter อยู่ในตำแหน่งคงที่ ซึ่งจะทำงานได้ดีที่สุด ในระยะห่างหนึ่ง และ ความสูงของหูในระดับหนึ่งเท่านั้น แต่ Wilson ออกแบบ Alexia ให้สามารถปรับตำแหน่งของ Mid และ Tweeter ได้ถึงระดับ มิลลิเมตร
ก่อนหน้านี้ คุณสมบัติดังกล่าว จะหาได้จากรุ่น Alexandria และ Maxx เท่านั้น แต่วันนี้ คุณสามารถสัมผัสเทคโนโลยี่ดังกล่าว ในลำโพงที่มีขนาดกระทัดรัดมากขึ้น ด้วยรุ่น Alexia ครับ
Woofer คู่ 8 และ 10 นิ้ว
Alexia เป็น Wilson ขนาดกระทัดรัดรุ่นแรก ที่ใช้เทคโนโลยี่ pulp/paper woofer 2 ตัวที่มีขนาดต่างกัน ซึ่งเป็นมรดกมาจากการออกแบบ X-1 Grand Slamm Woofer ทั้งสองตัว ใช้เวลาในการออกแบบยาวนาน 18 เดือน เพื่อให้ได้ dynamic และ bass ที่ลึก หนักแน่น โดยไม่เสียความกระจ่างของย่านเสียงกลางแต่อย่างใด ตัวตู้ของ Bass unit มีขนาดใหญ่กว่า Sasha 18 % ซึ่งทำให้โดยรวม Alexia สูงกว่า Sasha ขึ้นไปอีก 10 นิ้ว
Midrange from Alexandria
Alexia ใช้ Cellulose fibre/carbon ขนาด 7 นิ้ว ซึ่งเป็น driver ที่ใช้ในรุ่นสูงสุดของ Wilson คือ Alexandria ใน unit ที่ด้านหน้าทำจาก S-material และ ด้านข้างและด้านหลังที่ทำจาก X-material
Tweeter
นี่เป็นสิ่งที่ทำให้ผม ไม่ได้ตัดสินใจซื้อ Sasha เพราะเมื่อผมได้ฟัง Duette และ Alexandria แล้ว ผมรู้ว่า ผมชอบเสียงแหลมจาก Tweeter รุ่นใหม่ของ Wilson มากกว่ารุ่นเดิมทีใช้อยู่ใน Sasha มันเป็น Tweeter แบบ silk dome เหมือนในรุ่น Alexandria แต่ถูกปรับแต่งให้เข้ากับ midrange ที่มีเพียง driver เดียวของ Alexia โดยเฉพาะ
จากการวิจัย พัฒนา และ แนวคิดทั้งหมด ที่ประกอบขึ้นมาเป็น Alexia จะเห็นได้ว่า นี่ไม่ใช่ พี่ใหญ่ของ Sasha
แต่หากเป็น น้องเล็ก ของ Alexandria XLF ต่างหาก
ดังนั้น หากท่านใดอยากสัมผัสเสียงที่ดีที่สุดของ Wilson แต่ติดอยู่ตรงที่ ไม่มีห้องขนาดใหญ่พอที่จะรองรับ Alexandria XLF ได้ หรือ ไม่พร้อมในด้านงบประมาณ Alexia คือ ลำโพงสำหรับคุณโดยเฉพาะครับ
Wilson Clone ?
เป็นไปไม่ได้เลย ที่หากใครก็ตามที่คิดจะ clone ลำโพง Wilson แล้วให้เสียงที่เหมือน Wilson จริงๆ เพราะงานของ Wison ไม่สามารถที่จะลอกแบบได้เหมือน 100% เริ่มตั้งแต่วัสดูทีใช้ทำตู้ลำโพงซึ่งเป็น X-material กับ S-material ซึ่งมีความหนาต่างกัน การทำลำโพง clone โดยใช้ไม้ MDF ซึ่งต่างกันทั้งตัววัสดุ และ ความหนา จึงเป็นไปไม่ได้ ที่จะจัดการเรื่อง resonance ได้เหมือน Wilson จริงๆ การคิดง่ายๆเพียงว่า มีสัดส่วนภายนอกใกล้เคียงกับของแท้แล้วจะให้เสียงที่เหมือนกัน จึงเป็นความคิดที่ผิดครับ
การเชื่อมจุดต่างๆเข้าด้วยกัน ด้วยกาว และการขัดผิวตู้ และ การพ่นสารเคลือบ และ สี เพื่อให้มั่นใจว่า ความชื้น จะไม่ส่งผลต่อจุดเชื่อมต่อต่างๆของ ตัวตู้ลำโพง โดยเฉพาะงานสี ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ เกินกว่างาน clone จะทำได้ งานประกอบตู้ และ ทำสีของ Wilson นั้น เป็นเรื่องของมืออาชีพโดยแท้จริง
Driver ของ Wilson ผลิตเป็นพิเศษเพื่อ Wilson และมีการ modify โดย Wilson เองอีกครั้ง และยังทำการ matching driver ทุก unit ก่อนที่จะนำไปประกอบในแต่ละรุ่น แต่ละตู้
Crossover network เป็นความลับที่ หาภาพถ่ายของมันได้ยากครับ ปิดผนึกไว้ด้วย epoxy และติดตั้งอยู่ภายใน cabinet เป็นองค์ประกอบหนึ่ง ที่ผู้ทำ clone ไม่มีทางรู้ หรือ หาข้อมูลได้ว่า Crossover ออกแบบไว้เช่นไร
ในอดีต เคยมีการทำลำโพงมาขาย โดยอ้างว่า Clone Watt/Puppy แต่เป็นงานสั่งทำ และ ไม่ให้ทดลองฟังก่อน ซึ่งผมคิดว่า เป็นเงื่อนไขที่แปลกประหลาด แต่ก็มีคนหลายๆคน ยอมจ่ายเงิน ด้วยความหวัง และ เชื่อตามเสียงร่ำลือว่า เสียงมันดีเหมือน Wilson สุดท้าย โครงการ Wilson clone ก็จบลงแบบไม่สวย และ มีปัญหาหลายอย่างตามมา….
โครงการ DIY clone นั้น อาจจะทำอะไรได้หลายอย่าง แต่สำหรับลำโพง Wilson audio แล้ว การ clone ให้เหมือนนั้น แทบจะเรียกว่า เป็นไปไม่ได้โดยสิ้นเชิง
การไปลองฟังที่ปิยะนัส
ผมเฝ้ารอการไป audition Alexia อย่างยาวนาน เหตุผล เพราะตั้งแต่ประกาศเปิดตัว Alexia เป็นที่ต้องการจากทั่วโลก ชนิด ผลิตได้ไม่ทันความต้องการ สำหรับเมืองไทย Alexia รุ่นแรกๆที่เข้ามาถึง ก็ต้องนำไปให้ลูกค้าที่สั่งซื้อตั้งแต่ตอนเปิดตัว โดยไม่ได้ทดลองฟังด้วยซ้ำ ส่วนผม ก็ต้องเข้าคิวรออย่างอดทนไปตามระเบียบ
ครั้งแรกที่ผมได้ฟัง Alexia เป็นการไปฟังที่ปิยะนัส เพราะมีคู่ demo อยู่ที่นั่น แต่ก่อนจะไปฟัง ผมก็ทำใจไว้ก่อนล่วงหน้า เพราะผมรู้ตั้งแต่เห็นรูปห้องฟังของปิยะนัสแล้วว่า ผมไม่สามารถจะบอกได้ว่า Alexia มีเสียงเป็นเช่นไรกันแน่ ในห้องฟังที่ผิดหลักการออกแบบที่ดีไปอย่างส้ินเชิงแบบนี้ จุดที่เป็นจุดอ่อนที่สุดคือ การมีผนังด้านข้่างไม่เหมือนกัน โดยที่ด้านหนึ่งเป็นฝาผนังปกติ ในขณะที่อีกด้านหนึ่งเปิดโล่ง
ห้องฟังนั้น มีผลอย่างยิ่งต่อเสียงที่ได้ และ บริเวณที่จะส่งผลอย่างยิ่งต่อเสียงคือ ผนังด้านข้าง ทั้งสองด้านของห้องฟังครับ และในเมื่อมันต่างกันอย่างสิ้นเชิงเช่นนี้ มันย่อมส่งผลต่อเสียงในทุกๆด้าน และการฟังลำโพงในระดับราคานี้ เพื่อตัดสินใจซือ ภายใต้สภาพแวดล้อมแบบนี้ ย่อมไม่สามารถทำได้อย่างแน่นอน ผมอยากเสนอว่า ก่อนที่ปิยะนัส จะไปใส่ใจเรื่องการ ยกสาย ให้ลอยจากพื้น หันกลับมา สนใจหลักการเบื้องต้นของห้องฟังที่ดี และ ถูกต้อง ก่อนเถอะครับ
และการได้ไปฟังก็ยืนยันตามนั้น Alexia มีแนวโน้มที่จะดีในย่านเสียงกลาง แหลม soundstage แต่ในด้านอื่นๆ ผมรู้ว่า มันน่าจะดีได้กว่านี้ หากได้ฟ้องฟังที่ถูกต้อง มิหนำซ้ำ ห้องฟังของปิยะนัส มีโครงเคร่าเพดานที่ผิดพลาด เมื่อเจอเสียงต่ำ ฝ้าเพดานกระพืออย่างชัดเจน จนรบกวนเสียงในทุกย่านที่กำลังฟังอยู่
ห้องฟังห้องนี้ สวยครับ และเหมาะสำหรับ “โชว์รูป”
แต่หากจะคิด “โชว์เสียง” ละก็…. สอบตก ครับ
แผ่น CD ที่ติดไว้ที่ห้องฟัง เกือบทั้งหมด ไม่เหมาะที่จะใช้ทดสอบลำโพง ปิยะนัส น่าจะปรับปรุงในการเลือกแผ่น demo ด้วย
พนักงาน.. ยังไม่เหมาะที่จะขายสินค้าในระดับ Hi-end เช่นนี้ครับ ถึงจะไม่เลวร้ายเท่ากับ พนักงานของสถาบันเครืองเสียง แต่ก็ต้องปรับปรุงทีเดียว ปิยะนัส อาจจะเหมาะในการขายให้กับลูกค้าที่อ่านรีวิวอย่างเดียว แล้วมาซื้อ หรือ ลูกค้าที่ขาดประสบการณ์ในการทดลองฟังด้วยตัวเอง แต่.. ปิยะนัสไม่เหมาะเลยที่จะขายสินค้า Hi-end ให้กับลูกค้าอีกกลุ่มหนึ่ง ที่มีลักษณะคล้ายๆผม
ในอนาคต… ผมคงไมไ่ด้คิดจะไปซื้ออะไรกับ ปิยะนัส.. เพราะผมคิดว่า เขายังคงต้องปรับปรุงห้องฟัง และ อะไรอีกหลายๆอย่าง ไม่เช่นนั้น จะเป็นการเสียเวลาต่อทั้งสองฝ่ายครับ
(update – ผมจะไม่ซื้อสินค้าใดๆจากปิยะนัส โดยเด็ดขาด เพราะผมรับการกระทำของร้านปิยะนัส ที่กระทำต่อผมไม่ได้ ผมจึงขอจัดให้ ปิยะนัส ไปอยู่กลุ่มเดียวกับ ร้านสถาบันเครื่องเสียง ซึ่งเป็นกลุ่มพิเศษที่มีอยู่เพียงสองร้านนี้เท่านั้น ที่ถูกผมจัดอยู่ในกลุ่มนี้ คือ เป็นกลุ่มที่ผมจะไม่ซื้อ ไม่ใช่สินค้าใดๆทั้งสิ้นที่สองร้านนี้เป็นตัวแทน และ ตลอดไป ไม่เปลี่ยนแปลง)
ลำโพงอื่นๆที่ผมทดลองฟัง
แน่นอนว่า จะซื้อลำโพงระดับราคานี้ทั้งที ผมต้องไปลองฟังลำโพงยี่ห้ออื่นๆเปรียบเทียบด้วยครับ เพื่อให้แน่ใจว่า ลำโพงคู่ไหน คือ ลำโพงที่ผมเห็นว่า ดีที่สุด และ ผมชอบที่สุด สำหรับลำโพงที่ผมไปฟังมา มีดังนี้
ProAc รุ่น top, Nola , KEF, TAD, Magico, MBL, Focal, Marten, Thiel
ลำโพงที่อยากจะฟัง แต่ไม่มีให้ฟังคือ
Rockport และ Vandersteen
ผมจะไม่ลงรายละเอียดในลำโพงรุ่นต่างๆ แค่อยากบอกว่า บางยี่ห้อ ไม่ดีด้วยตัวมันเอง
บางยี่ห้อ แค่ ok ดีใช้ได้ แต่ไม่โดดเด่น
บางยี่ห้อ ไม่ได้อยู่ในสภาพที่ลงตัว ไม่ว่าด้วยเหตุผลใดก็ตาม แต่มันทำให้ผมไม่คิดจะตามไปฟังอย่างซีเรียส
ในบรรดาทั้งหมด ที่เด่นที่สุด เห็นจะเป็น Magico Q3 ซึ่งให้เสียงที่ดีครับ (ผมคิดว่า ในระดับราคานี้ Q3 เป็นลำโพงที่ต้องไปฟังครับ อย่าข้ามไป) อย่างไรก็ตาม มันให้เสียงคนละแบบกับ Wilson จะชอบหรือไม่ ต้องไปลองฟังเองครับ แต่สำหรับผม.. แน่นอน.. ลำโพงที่ผมชอบ และ เห็นว่าดีที่สุดคือ Wilson Audio Alexia ครับ
ไปลองฟังที่ Deco
หลังจากไปฟังที่ ปิยะนัส ถึงแม้ Alexia จะแสดงแนวโน้มว่า เป็นลำโพงที่ดี แต่ผมก็ตัดสินใจไม่ได้ ว่า ประสิทธิภาพสูงสุดของ Alexia อยู่ที่ระดับใด ผมจึงแจ้งให้ Deco ทราบว่า ผมเจอปัญหาดังกล่าว การนัดหมายกับ Deco จึงเกิดขี้น เพื่อที่จะเข้าไปฟังที่ หัองฟังของ Deco ซึ่งดีกว่าห้องของปิยะนัสมาก ผมใช้เวลาในการฟัง Alexia อย่างจริงจังถึง 3 วัน โดยไปฟังที่ห้องฟังของ Deco 2 วัน ส่วนอีกวันหนึ่งเป็นการไปฟังในงานโชว์เครื่องเสียงครับ
หลังจากการฟังติดต่อกัน 3 วัน ผมก็ตัดสินใจสั่งซื้อ Alexia :supergrin:
ครับ นี่คือลำโพงที่ผมคิดว่า มีคุณภาพเสียงดีมากๆคู่หนึ่ง และ เป็นลำโพงที่ผมชอบที่สุด ในการตระเวณหาซื้อลำโพงในครั้งนี้
ผมคุยรายละเอียด เรื่องกำหนดการส่งมอบลำโพงกับ deco และรายละเอียดเรื่องการชำระเงิน แล้วก็กลับมารอการมาถึงหาดใหญ่ของ น้องนาง Alexia ครับ
กำหนดส่งมอบลำโพงคือประมาณ กลางเดือน ก.ค. 2556 ครับ
*** จบครึ่งแรก แล้วจะมาต่อครึ่งหลังว่า ด้วยการมาถึงของ Alexia การ setup และ เสียงครับ ***
รับน้อง Alexia เข้าหอ
ฤกษ์งามยามดี พฤหัสที่ 18/7/56 ทีมงานของ Deco ก็นำน้อง Alexia มาส่งถึงที่ครับ จริงๆแล้ว ผมซื้อรถเข็นปีนบันได้มาอันหนึ่ง เพื่อกะว่า จะใช้ช่วย ผ่อนแรงทีมงาน โดยเฉพาะ แต่พอใช้เข้าจริง ไม่ work ครับ ทางทีมงานบอกว่า ยกเอา ง่ายกว่า :sad2: ก็เลยเสียเงินฟรี อิ อิ
ตัวลำโพง แยกกันมาในลัง 3 ลังครับ ลังทำมา แน่นหนามาก เพื่อความมั่นใจว่า ลำโพงจะไม่เสียหายระหว่างการขนส่ง สองลังแรก จะบรรจุ Bass unit มา ลังละตู้ ส่วนลังที่ 3 จะบรรจะส่วน head รวมกันมาในลังเดียวกันครับ
ทางทีมงาน ก็ช่วยกัน ขนลำโพงขึ้่นไปที่ชั้นสาม ซึ่งต้องขอบคุณจริงๆครับ ผมสัญญาว่า หากสร้างบ้านถาวรเมื่อไร ผมจะทำ lift ขนของ ไว้เพื่อขนเครื่องเสียงโดยเฉพาะ เพื่อที่ทีมงานจะได้ ไม่ต้องเหนื่อยยากแบบนี้อีกแล้ว 🙂
ในส่วนของ Head ไม่มีปํญหาครับ
แต่… มามีปัญหาในส่วนของลำตัว Bass unit ครับ
ปรากฎว่า ทาง Deco จัดของมาผิดครับ เพราะจากฉลากบอกว่า เป็นสี Silver แต่จริงๆแล้ว ต้องเป็น Dark Titanium ครับ ทุกอย่างเลยต้องหยุดชะงักลง
งานเข้าละครับทีนี้… :rolleyes:
ทางทีมงานต้องรีบ โทรไปติดต่อ ทางกรุงเทพ ให้ส่ง Bass unit ที่ถูกต้องมาหาดใหญ่โดยด่วน ทางเครื่องบิน ซึ่งก็จะใช้เวลาไม่นาน ตอน 3 ทุ่ม ก็ไปรับได้ที่สนามบินหาดใหญ่ เพียงแต่ว่า งานก็จะล่าช้าลงบ้างเล็กน้อย
หัวของน้อง Alexia ก็เลยต้องมานิ่งสงบอยู่ที่พื้น เพื่อรอ ลำตัว ที่พลัดพรากจากกัน ตามมาสมทบกันในภายหลัง
Serial no. ของลำโพงของผมคือ 333 และ 334
เลขสวยไหมครับ ท่านผู้ชม อิ อิ
นั่นเท่ากับว่า มันเป็น Alexia ตู้ที่ 333 และ ตู้ที่ 334
และนั่นเท่ากับว่า มีการผลิต Alexia ออกมาอย่างน้อยที่สุด 167 คู่ เข้าไปแล้ว โอ้โห……
ผมเคยอ่านเจอ ฝรั่งที่ได้ไปเยี่ยมโรงงานของ Wilson มานะครับ เขาบอกว่า เห็นปริมาณการผลิตของ Alexia แล้ว ต้องนับว่า ลำโพงรุ่นนี้ ประสบความสำเร็จเป็นอย่างสูง มากๆ… เพราะมันขายดีไปทั่วโลกเลย
ผมเอง ก็ไม่ได้คิดว่า เพียงระยะตั้งแต่เปิดตัว มาถึงตอนนี้ ประมาณเกือบปี (และจริงๆแล้ว เริ่มส่งลำโพงได้จริงมาไม่ถึงปี) Wilson จะขายลำโพงในระดับราคานี้ได้ร่วม 200 คู่ แบบนี้ ถือว่าขายดีมากๆ ทั้งๆที่ ยังไม่มีรีวิิวใน Stereophile หรือ The Absolute Sound เลย
ในช่วงเวลาว่างๆ ที่รอให้ลำตัวของน้อง Alexia มาถึง ทางทีมงานจึงทำการติดตั้ง แผงซับเสียงที่ฝ้าเพดานให้ผมครับ ซึ่งทาง Deco รับทำเป็นงาน custom ซึ่งผมได้ติดเข้า 4 แผง ตรงจุดที่คาดว่า เป็น จุด early reflection ที่เพดาน ราคาไม่แพงครับ และ ผมคิดว่า คุ้มกว่าที่จะไปซื้อ ของที่ขายกันทั่วๆไปตามท้องตลาด เพราะในแง่ของตัวซับเสียงเพียงอย่างเดียว (โดยไม่ diffuse) มันไม่มีอะไรแตกต่างกันเลย หลักการก็เหมือนๆกันครับ สั่งทำจาก Deco คุ้มกว่า
อีกสิ่งหนึ่ง ที่ผมซื้อมาติดตั้งด้วยในครั้งนี้ คือ แผง Arte Pyramid ครับ
โดยทำการติดตั้งที่ผนังด้านหลังลำโพงเพิ่มเติม เพราะ แผ่น BAD panel ที่มีอยู่่ก่อน ไม่เพียงพอที่จะมาติดตรงจุดนี้ด้วย
หลังจากนั้น ทางทีมงาน ก็ได้ช่วย เช็ค และ ปรับภาพ projector ให้ผมด้วยเสียเลย ในขณะที่มีเวลาว่างๆในวันนี้ หลังจากนั้น ก็แยกย้ายกันครับ ทีมงานไปรับของที่สนามบินหาดใหญ่ ส่วนผมก็อาบน้ำ เตรียมตัวพักผ่อน โดยนัดกับทีมงานว่า พอได้ลำโพงแล้ว จะขอนำลำโพงมาไว้ที่บ้านผมก่อนในคืนนั้นเลย ดังนั้น คืนนี้ ผมก็เลยต้องนอนดึกเป็นพิเศษครับ
ประมาณ สามทุ่ม เศษ ทีมงานก็มาถึง และได้ทำการขนลำโพงขึ้นชั้นสาม กว่าจะเสร็จสิ้น การติดตั้งขั้นต้น ก็ปาเข้าไปประมาณ ห้าทุ่มครับ นับว่า เป็นวันที่เหน็ดเหนื่อย ยาวนาน สำหรับพวกเราทั้งหมดทีเดียว ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ทีมงาน Deco ทำงานได้เป็นมืออาชีพ และ รับผิดชอบต่องาน ดีเยี่ยมครับ และ แก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าได้ดี ซึ่งผมต้องขอชมไว้ ณ ที่นี้ด้วย
และหลังจากที่ประกอบลำโพงเรียบร้อยแล้ว เป็นแบบนี้ครับ
ในวันรุ่งขึ้น กว่าจะเริ่มงานกันได้ ก็ปาเข้าไปช่วงบ่าย ซึ่งเป็นความผิดของผมเองที่ ติดธุระบางประการ ทำให้การเริ่มงานล่าช้าไปหลายชั่วโมง ทางทีมงาน ก็ได้กรุณา ปรับแต่ง และหาตำแหน่งวางลำโพงที่ทำให้ การตอบสนองความถี่ในห้องผม ให้ได้ราบเรียบที่สุดให้ ซึ่งการปรับตั้ง เป็นไปอย่างพิถีพิถัน และ ใช้เวลาหลายชั่วโมง
หลังจากเสร็จสิ้น เราก็ลาจากกัน เพราะทีมงานจะต้องไปทำงานที่สุราษฎร์ต่อไปครับ
ส่วนผม ก็เริ่มต้นทำงานขั้นต่อไปทันที ด้วยการ Burn ลำโพงให้ครบ 300 ชม. ก่อนที่จะเริ่มต้น setup จริงๆจัง อีกครั้งหนึ่งครับ
สำหรับ Alexia นอกเหนือจากตัวลำโพง คู่มือ ที่พิมพ์และ จัดทำมาอย่างสวยงามแล้ว ยังมีกล่องอีก 2 กล่องครับ ซึ่งบรรจุอุปกรณ์ข้างเคียงมาให้ด้วย
กล่องแรก ประกอบด้วย spike และ ผ้าไมโครไฟเบอร์ เพื่อใช้ทำความสะอาดตู้ลำโพงครับ
กล่องที่สอง ประกอบด้วย ประแจขนาดต่างๆ และหัวประแจ ตลอดจน ตัวต้านทานสำรองครับ
ในกล่องทั้งสองกล่อง จะเห็นช่องว่างๆอยู่ ของดังกล่าว เป็นส่วนประกอบของ spike ที่นำมาติดตั้งไว้แล้วครับ
ตอนนี้ ขาตั้งยังวางอยู่บนแผ่นอุปกรณ์ที่ช่วยให้การเลื่อนลำโพงทำได้โดยง่าย แต่หลังจากที่หาตำแหน่งชัดเจนได้แล้ว ผมคิดว่า คงจะเอาแผ่นที่ว่าออก และ จะใช้ Vibrapod ในการรองลำโพง Alexia ต่อไปครับ
Burn ไปเรื่อยๆ ถึงเมื่อยก็ไม่หยุด
ตอนนี้ ผมก็ burn Wilson Alexia ไปเรื่อยๆครับ ช่วงแรกก็ burn 24 ชม. ไม่หยุด แต่ทำไปได้สักพัก ชักเสียวๆว่า หากเกิดอะไรขึ้นระหว่างวัน แล้วผมไม่ทันดู มันจะไม่คุ้ม ก็เลย Burn เฉพาะช่วงที่ผมอยู่บ้านแทน ซึ่งก็ได้แค่วันละประมาณ 6 ชม. หลังจากนั้น ก็ให้เครื่องได้พักบ้าง
ในระหว่างที่ burn ผมก็ฟังไปเรื่อยๆ ผมพบว่า Boulder 850 นั้น ถึงจะเห็นว่า ขนาดไม่ได้ใหญ่โตอะไร แต่มันไม่มีปัญหาในการขับ Alexia เลยครับ ไม่มีปัญหาด้านน้ำหนักของเสียง ไม่มีปัญหาด้าน dynamic ไม่มีอาการว่า เสียงจะอั้น หรือ ขับไม่ออก แต่อย่างใด :cheer:
แต่หากว่า เทียบกับเสียงตอนที่ผมได้ฟัง Alexia ขับด้วย VTL เสียง กลาง แหลม ของ VTL จะออกมาดีกว่าครับ (แต่ราคาของ VTL ก็สูงกว่า Boulder รุ่นเล็กนี้มาก)
อย่างไรก็ตาม หากถามว่า Boulder 850 กับ Alexia นั้น เป็นอย่างไร ?
ผมตอบว่า ดีเลยครับ
หากว่า ไม่เปรียบเทีียบกับ Power ที่ราคาสูงกว่า คุณภาพเสียงที่ได้ถือว่า ดีมาก… และ ผมสามารถจะฟังมันได้ โดยไม่รู้สึกว่า อึดอัด ทนไม่ได้ อะไรทำนองนั้น ยิ่งกว่านั้น ผมกำลังคิดๆด้วยซ้ำว่า VTL นี่ overkill สำหรับห้องผมหรือเปล่าวะเนี่ย แต่ก็ตกลงซื้อไปแล้ว ก็เลยต้อง เลยตามเลย 🙂
ตอนนี้ การ Burn ยังไม่เสร็จสิ้น และ หากว่า เมื่อ VTL มาถึง การ setup ก็จะยังคงต้องดำเนินต่อไปเรื่อยๆ ดังนั้น การวิจารณ์เสียงของ Alexia + Boulder นั้น คงจะไม่ได้เขียนโดยละเอียด การวิจารณ์โดยละเอียด จะเป็นชุด Alexia + VTL มากกว่าครับ
ตำแหน่ง ของลำโพง คงต้องปรับ และ ตอนนี้ ผมก็เริ่มเลื่อนตำแหน่งลำโพงไปเรื่อยๆ (ผมวัดตำแหน่งเดิม และ จด ไว้เรียบร้อยแล้ว เพื่อเอาไว้เปรียบเทียบกันภายหลัง) และผมพบว่า เสียงของ Alexia ไวต่อตำแหน่งของลำโพงครับ พอเลื่อนตำแหน่ง เสียงก็เปลี่ยนไปเรื่อยๆทันที ดังนั้น การ setup Alexia ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ที่จะให้ ลำโพงแสดงประสิทธิภาพสูงสุดออกมา
อีกสิ่งหนึ่ง ที่ผมกลัวก่อนที่จะเอา Alexia มาลง คือ ผมกลัวว่า ห้องผมจะรับ Alexia ไม่อยู่…
แต่ตอนนี้ ผมคิดว่า ห้องขนาด 4.2 x 6.5 m. นั้น กำลังมีขนาดพอเหมาะกับ Alexia ทั้งในด้านเสียง และ ทางด้านกายภาพ ด้วยครับ
ในด้านเสียง ผมพบว่า ไม่มีปัญหาด้านเบสบูม อย่างที่กลัวในตอนแรก
ไม่มีปัญหาว่า เสียงม้ันจะตึงๆ เหมือนกับว่า ห้องรับลำโพงไม่อยู่
ในด้านกายภาพ ตอนแรก ผมก็จินตนาการว่า ดูเหมือน มันจะดูใหญ่โตจนล้นห้องผมไหม ?
พอมาวางจริงๆ ผมว่า มันกำลังพอดีครับ
ไม่ได้รู้สึกว่า ลำโพงใหญ่กว่าห้อง แต่อย่างใด
อันที่จริงแล้ว ผมคิดว่า Alexia นี่แหละ ที่มีขนาดกำลังพอเหมาะ พอเจาะกับห้องผมอย่างยิ่ง
แต่หากว่า ใหญ่กว่านี้ เช่น Wilson Maxx III ละก็ อันนี้คงใหญ่เกินห้องแน่นอน
Alexia นี่ละครับ ที่เหมาะสมกับห้องฟังของผมอย่างยิ่งแล้วครับ
ผมคิดว่า ขนาดห้องที่เหมาะกับ Alexia คือห้องที่มีความกว้างประมาณ 4 – 5 m. นี่ละครับ
คิดว่า กำลังพอดีเลย
ส่วนห้องที่ใหญ่กว่านี้ ก็ไม่มีปัญหาครับ ตอนที่ผมไปฟังที่งานโชว์ เสียงก็ยังแผ่ไปเต็มห้องได้ เพียงแต่ว่า ต้องอาศัยแอมป์ถึงๆ มาขับเท่านั้นเอง
สำหรับห้องที่แคบกว่า 4m. อันนี้ไม่ทราบครับ เพราะไม่เคยฟัง แต่ก็เห็น Alexia หลายคู่ ไปอยู่ในห้องที่กว้างแค่ 3 m. กว่าๆ และ ผู้ใช้ก็รายงานว่า พอใจในน้ำเสียงที่ได้กันทุกคนครับ
แม้เธอผ่านชาย ร้อยชาย ฉันยังรักเธอ…
แล้วเธอก็มาถึง VTL Siegfried Reference Monoblock……
จริงๆแล้ว ตอนแรกๆผมไม่ได้คิดเรื่องการเปลี่ยนแอมป์นะ… ผมคิดเรื่องการใช้ Boulder 850 ขับ Alexia มากกว่า และก็อุตส่าห์เช็คแล้ว เช็คอีก ว่ามันจะขับไหวไหม ? พอลองจริงๆ… Boulder 850 ก็ขับได้สบายๆมากๆ Bass มาเต็มๆ Dynamic มาเต็มๆ ในด้านการขับ Alexia แล้ว Boulder บอกว่า สบายมาก….
แล้วทำไม ถึงยังจะเปลี่ยนแอมป์ ?
ตอบ ก็ VTL เสียงดีกว่าอ่ะ จบนะ จบป่ะ 😛
เรื่องจริงนะครับ ผมไม่ได้คิดเรื่องการเปลี่ยนแอมป์เลย จนกระทั่งไป นั่งฟัง Alexia ในงานโชว์ที่ Bi-Tec ทาง Deco จัด System นั้นด้วย VTL Siegfried Monoblock แล้วผมก็ดันไปนั่งฟัง แล้วก็โดนซ้ำอีกดอกหนึ่งว่า Siegfried เสียงดีกว่า Boulder 850 มาก….
ก็เลยเขว.. เลยครับ แล้วผมก็เริ่มเคลิ้ม… ฝัน…. ฮ่าๆ… 😆
ผมเคยบอกว่า ในครั้งแรก ที่ผมฟัง Alexia ขับด้วย Ayre
แล้วไปฟัง Magico Q3 ขับด้วย Solution แล้วรายงานว่า เสียง กลาง-แหลม ของ Q3 ดีกว่า Alexia
(Solution มีราคาสูงกว่า Ayre เยอะ)
แต่ผมกลับมาเปลี่ยนใจ โดยบอกว่า Alexia ให้เสียงกลาง-แหลม ที่ดีกว่า Q3 ก็ตอนที่ไปนั่งฟัง Alexia ขับด้วย VTL นี่ละครับ
นั่นจึงเป็นจุดเริ่มต้น ของการคิดจะเปลี่ยนแอมป์ในครั้งนี้
แต่… Siegfried Mk.II นั้นราคาสูงเหลือเกิน ผมซื้อมันไม่ไหว…. เกินกำลังไปเยอะ….
ทาง Deco ก็เลยถามว่า หากมีคนปล่อย Siegfried Mk.I ออกมาล่ะ ผมสนใจของมือสองไหม
คำตอบ.. สนใจครับ
ทาง Deco ก็เลยดูให้ จนวันหนึ่ง ก็มีลูกค้าท่านหนึ่ง (ซึ่งผมไม่รู้ว่าใคร) upgrade Siegfried Mk.I ไปเป็น Mk.II แล้ว trade Mk.I กลับมาที่ Deco ทางร้านก็เลยถามว่า ผมสนใจหรือไม่ ? ผมมันใจง่าย ก็เลย OK ครับ 🙂
เมื่อทุกอย่างพร้อม ทางทีมงาน ก็แวะมาภาคใต้อีกครั้ง เพื่อส่งมอบ Siegfried ให้ผม แอมป์บรรจุมาในลังไม้ขนาดใหญ่มาก และ แอมป์ก็ใหญ่มาก หนักมาก… เกินกว่าที่ผมคิดไว้ คือ.. ผมไม่ได้ไปพิจารณาแอมป์อย่างใกล้ๆเลย มาเจอตัวจริงเข้า มันใหญ่กว่าที่คิดไว้พอสมควรทีเดียวครับ
ทันที่ ที่ติดตั้งเสร็จ ผมทดลองเปิดฟัง….
เพียงเพลงแรกครับ ผมบอกได้ทันทีว่า Siegfried นั้น เสียงดีกว่า Boulder 850 ชัดเจนมาก
แต่หากเทียบกับ Siegfried Mk.II อันนี้บอกไม่ได้ครับ ว่าต่างกันไหม และ ต่างกันอย่างไร ? ถ้าจะบอกได้ ก็ต้อง A/B test แน่ๆ
แต่ happy ครับ และตัดสินใจไม่ผิด ที่เปลี่ยนแอมป์ในครั้งนี้ เสียงของ Siegfried ดีจริงๆครับ มันเป็นแอมป์หลอดที่ผมชอบ เพราะว่า เสียงของมันไม่ได้ช้า หรือ นุ่มนิ่ม Dynamic , Impact ออกมาดีมากๆ เสียงเบสดีมาก แถม เสียงกลาง-แหลม ตลอดจน soundstage , focus ก็ดีกว่า Boulder 850 ชัดเจน
Siegfried สามารถขับได้ทั้งในโหมด Triode และ Tetrode เพื่อปรับให้เหมาะกับ ดนตรีที่เราฟังแผ่นนั้นๆ ว่าเรากำลังฟังเพลงในสไตล์ไหน เป็น chamber music , Vocal Jazz เราก็ฟังในโหมดหนึ่ง พอจะฟัง Big Band หรือ Rock เราก็ฟังในอีกโหมดหนึ่ง จึงนับได้ว่า มันเป็นแอมป์ที่ Best of both world ทีเดียวครับ
ข้อเสียของ Siegfried ที่เห็นก็คือ มันร้อนครับ กินไฟขนาดไหน ยังไม่รู้ต้องรอดูบิลค่าไฟเดือนหน้าก่อน อิ อิ :p
แต่เล่นๆไป ผมคิดว่า ผมคงต้องวางแอมป์ให้ห่างจากลำโพงเสียหน่อยแล้วครับ คงวางใกล้ๆ ชิดๆ กันเลย อย่างที่ตั้งใจทีแรก คงไม่ได้แล้วครับ เพราะเกรงวา ไอความร้อน อาจจะไปส่งผลเสียต่อสภาพของตู้ลำโพงครับ
นอกเหนือ จากเรื่องความร้อนแล้ว ผมชอบ Siegfried ในทุกอย่างทีเดียวครับ และถึงจะเป็นของที่ผ่านมือชายอื่นมาแล้ว ก็ไม่เป็นไร พจน์ไม่รังเกียจ… ที่แล้วก็แล้วไป.. ไม่ตะขิด ตะขวงใจ… ถึงยังไง จะจริงใจรักเธอ….. :love3:
เขยิบ.. เขยิบๆๆ.. เข้ามาสิ
แล้วก็มาถึงเรื่องน่าเบื่อที่สุดในการเล่นเครื่องเสียง นั่นคือ.. setup ลำโพง
มันน่าเบื่อมั่กๆ… ขอบอก…
เลื่อนลำโพงที่หนึ่ง แล้วก็เปิดเพลงฟังไปสักหลายๆเพลง ต้องมานั่งคอยจำว่า เสียงเป็นยังไง
แล้วก็ต้องเลื่อนลำโพงอีก แล้วก็ทำซ้ำๆ ไปเรื่อยๆ…. :tongue:
แต่ในเมื่อ มันเป็นสิ่งจำเป็น ที่จะทำเพื่อให้ได้เสียงที่ดีที่สุดจากลำโพงสักคู่ ดังนั้น ก็ต้องก้มหน้า ก้มตา setup กันไปครับ ใครใช้ให้ซื้อลำโพงใหม่ละ่ :rolleyes:
สิ่งแรกที่ผมลองดูคือ วิธีการของ Wilson เอง
http://www.wilsonaudio.com/pdf/manual_alexia.pdf
วิธีดังกล่าวชื่อว่า WASP (Wilson Audio Setup Procedure)
วิธีดังกล่าว จะให้เราหา Zone of Neutrality ซึ่งเป็นขอบเขตที่ ลำโพงตอบสนองต่อห้อง อย่างเป็นธรรมชาติที่สุด เนื่องจากผมเอง ไม่ได้มีผู้ช่วย ผมจึงต้องเดินเอง และฟังเองไปด้วยในตัว เพื่อหาขอบเขตดังกล่าว
หลังจากที่ผมลองแล้ว ผมคิดว่า ไม่ใช่ครับ
มันเป็นจุดที่ ห่างออกมาจาก ผนังทั้งด้านข้าง และ ด้านหลังมาไม่มากเท่าไร และผมคิดว่า มันไม่ใช่จุดที่ดีที่สุด อย่างน้อยในแง่ของ soundstage มันไม่ใช่ครับ เสียงโดยรวมที่ได้ ผมคิดว่า ผมยัง setup ให้เสียงดีกว่านี้ได้ครับ
อีกวิธีที่ลองคือ วิธีของ Cardas ซึ่งจะมีใช้สูตรคำนวณออกมา ว่า ต้องตั้งลำโพงตรงไหน
http://www.cardas.com/room_setup_main.php
ซึ่งผมลองแล้ว ผมก็คิดว่า ไม่ใช่เช่นกันครับ ซึ่งน่าเสียดาย เพราะวิธีของ Cardas เป็นสูตรคำนวณที่ง่ายๆ ซึ่งมันจะทำให้ทุกอย่างง่ายขึ้นอย่างมากครับ
ดังนั้น ผมจึงใช้วิธีการดั้งเดิมของผมคือ เดาสุ่มครับ อิ อิ 🙂
ผมจะเริ่มต้น mark จุดลงบนพื้น โดยเริ่มจากระยะห่างกัน 1 ฟุตในแต่ละจุด แล้วก็เลื่อนลำโพงไปในทุกๆจุดบนพื้น จุดไหน ที่ผมคิดว่า เสียงไม่ใช่ ผมก็จะทำการดีง Mark ในตำแหน่งนั้นออก
เมื่อเหลือ พื้นที่ในขอบเขตหนึ่ง ที่ผมคิดว่า เสียง ok ผมก็จะเริ่มต้นทำการซอยย่อย ตำแหน่งในการ mark ให้ละเอียดมากขึ้น เป็น 6 นิ้ว แล้วทำขบวนการนี้ ซ้ำอีกครั้ง เสร็จแล้ว ก็ลดลงไปอีกเหลือระยะ 3 นิ้ว และสุดท้าย จะขยับกันละเอียดแค่ไหน ก็คงแล้วแต่ว่า ลำโพงนั้นๆ จะไวต่อตำแหน่งการวางของมันสักขนาดไหนครับ
และ อีกอย่างหนึ่ง ผมมีแนวโน้มที่จะวางลำโพงออกมาในรูปลักษณะสามเหลี่ยมด้านเท่าเสมอ แต่ก็ไม่ถึงกับเป๊ะๆนะครับ แต่มันจะเข้าไปใกล้เครียงรูปทรงนี้เสมอ เพราะผมคิดว่า มันให้ มิติ soundstage ที่ดี และผมจะขยับรูปสามเหลี่ยมดังกล่าว ขึ้นลงตามแนวความยาวของห้อง เพื่อหา tonal balance ที่เหมาะสม
จริงๆแล้ว ผมก็เคยพยายามทดลองวิธีต่างๆ วิธีใหม่ๆ ดูเสมอ เมื่อจำเป็นต้อง setup ลำโพง แต่สุดท้ายแล้ว ผมก็ยังคงคิดว่า วิธีเก่าแก่ดั้งเดิมของผมนี่แหละ ที่ผมคิดว่า work ที่สุดครับ
ในระหว่างการ setup ผมมักจะขี้เกียจเสมอ และ บ่อยๆ ที่ผมนั่งฟังเพลงของผมไปโดยไม่สนใจจะ setup ลำโพงอย่างจริงจังนัก เพราะ Alexia นี่มันเสียงดีครับ ทำให้ผมมักจะเผลอฟังเพลงมากกว่าครับ
ตอนนี้ ตัดจุดที่ผมแน่ใจว่าไม่ใช่ออกหมดครับ
แล้วปรับระยะห่าง ระหว่างจุดลงเหลือ 6 นิ้ว
แล้วทำการทดลองเลื่อนหาจุดของลำโพงต่อไปครับ
</color=red>