ProAc Response 3.8

†=

 

Proac Response 4 เป็นลำโพงในฝันของผมคู่หนึ่งทีเดียว แต่เนื่องจาก หนึ่งมันแพงไป  ผมไม่มีตังค์ (ปัญหาคลาสสิคของนักเล่นเครื่องเสียงทุกคน) สองผมว่าห้องของผมออกจะเล็กเกิน ไปหน่อยสำหรับ response 4 แต่ผมก็ยังอยากจะได้ Proac สักคู่มาเป็นของผมอยู่เสมอ           พอผมได้ข่าวว่า Proac ออกรุ่นใหม่ 3.8 มาแทน 3.5 ผมก็รู้สึกสนใจทันที ผมจึงรีบจัดการ จรลีไปทดลองฟัง 3.8 ในบัดดล 4D เขาบอกให้ไปทดลองฟังที่ ไฮเทค ซีคอนสแควร์  Proac รุ่นนี้รูปร่างออกผอมบางกว่ารุ่น 3.5 เดิม ขนาดตู้ดูเล็กๆยังไงก็ไม่รู้ ดูเหมือนมันใหญ่กว่า 2.5 ไม่มากนัก  ถึงจะมีไดรเวอร์จำนวนเท่าเดิมแต่ก็วางในรูปแบบใหม่ โดยเอาทวีตเตอร์ไปอยู่บนสุด ไม่ได้อยู่ระ หว่างไดรเวอร์ Bass/midrange เหมือนรุ่นเก่า

ขอบ surround ของ driver ลำโพงเป็นยาง แทนที่โฟมของรุ่นเก่า ซึ่งก็ดีครับ มันจะได้ทน ทานขึ้น ช่องใส่ทรายก็ไม่มี นี่ก็ดีเหมือนกัน ไม่งั้นคนซื้อต้องมานั่งตักๆตวงๆทราย เข้าๆออกๆ เซ๊ทอัพ ตำแหน่งลำโพงอย่างเดียวก็เหนื่อยจะแย่แล้ว (อะไร๊ จะเล่นเครื่องเสียงแล้วยังขี้เกียจเซ็ทอัพอีก) มี binding post แบบ Biwire ให้ ส่วนหน้ากากลำโพงยังคงเป็นรูปแบบเดิม ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง  ผมลองฟังครั้งแรกที่บริเวณกลางของร้าน แต่เสียงออกมาไม่ดีนัก โดยเฉพาะเรื่องของ soundstage ผมจึงขอให้เขาย้ายไปลองฟังในห้องใหญ่ ซึ่งทางร้านก็ยินดีบริการให้ ต้องขอขอบคุณด้วยครับ

นี่เป็นเรื่องสำคัญครับ เพราะของมันราคาแพ๊ง แพง ผมต้องการความแน่ใจในเรื่องคุณภาพ ก่อนจะตัดสินใจซื้อของสักชิ้น ถึงจะได้ไม่ดีที่สุด อย่างน้อยก็ขอให้ใกล้เคียงก็ยังดี  ผมใช้เวลาประมาณ สองชั่วโมงในการทดลองฟังลำโพงคู่นี้  เรียกว่าทางร้านยกห้องให้ผมใช้ไปชั่วคราวเลย เขาไม่ได้เข้า มาคุมหรือดูแลอะไรเลย นอกจากแง้มมาดูผมเป็นระยะๆ

จุดดี จุดเด่นที่สุดของลำโพงคู่นี้คือ soundstage , image , focus , layering , midrange  และ Treble ส่วนจุดอ่อนนั้นก็เหมือนเดิมครับ Bass  ผมรู้สึกว่าเสียง Bass ค่อนข้างจะนุ่มๆ น่วมๆ อยู่สักหน่อย แต่ก็เหมือน Wilson Benesch ละครับ คือมันไม่ได้เลว แต่มันก็ไม่ได้อย่างใจผม

ผมรู้สึกว่าเสียงเบสของมันไม่แน่น ไม่เร็ว มวลของเบสจะด้อยกว่า Arieal Acoustic 10 T  ชัดเจน เพราะเบสของ 10T จะมีมวลมากกว่าเยอะ เบสนี่มาเป็นลูกๆทีเดียว แต่ตอนที่ผมไปฟัง 10T นั้น ในด้าน soundstage ออกมาไม่ดีนัก เรียกว่าอยู่ในตำแหน่งบ๊วยร่วมกันกับ Thiel CS6 ทีเดียว  แต่อาจจะเกิดจากการเซ็ท ซึ่งผมอาจจะกลับไปฟัง 10T รอบสองก็ได้ อย่างไรก็ตามถ้าเทียบเบส ระหว่าง Actor กับ 3.8 แล้ว  เบสของ 3.8 ดีกว่า Actor ครับ

เบสของ 3.8 นั้น ถ้าดีขึ้นอีกหน่อย ก็จะปิ๊งทันที เพราะจุดเด่นที่ผมชอบของ Proac ยังคง อยู่ครบถ้วน คือ soundstage  มันทั้งกว้างทั้งลึก Focus นี่เรียกว่าออกมาคมมาก นี่ขนาดไม่ได้ เซ็ทเต็มที่นักนะเนี่ย ลักษณะเสียงสดกว่า Wilson Benesch Actor    อีกทั้ง soundstage ก็กว้าง กว่าลึกกว่า actor ด้วย  Focus, Layering ก็ดีกว่าด้วย ที่พูดทั้งหมดนี่ Proac 3.8 ไม่ได้ดีกว่า  Actor ชนิดมากๆนะครับ   มันดีกว่าครับ แต่ก็ไม่ใช่ว่าขาด ดังนั้น คุณยังคงจะต้องไปฟัง Actor  ด้วย อย่าตัดมันออกไปจาก list เพราะคุณอาจจะชอบ Actor มากกว่า 3.8 ก็ได้

ผมอยากจะบอกว่า เวลาอ่านรีวิวของผม อย่าเชื่อผมมากนัก อ่านเล่นๆแล้วก็จำไว้เป็นข้อ สังเกตุจะดีกว่า แล้วไปฟังด้วยตนเอง ดูว่าคุณจะคิดว่าอย่างไร  เพราะการฟังของผมไม่ได้อยู่ใน สภาพแวดล้อมที่ดีที่สุด อีกทั้งยังเป็นการฟัง คนละชุด คนละห้อง โอกาสที่เซ็ทอัพให้ดีที่สุดก็ไม่มี  ดังนั้น มันจึงไม่ใช่ข้อสรุปชี้ขาดนะครับ

ในด้านที่ Actor ดีกว่า 3.8 คือ Micro dynamic และอีกด้านหนึ่งคือ มันให้บุคลิกเสียงที่เป็น กลางมากกว่า Proac เพราะ Proac ค่อนข้างจะมีบุคลิกเสียงที่เป็นลักษณะเฉพาะตัวอยู่บ้าง จะ เรียกว่ามันมีสีสันในน้ำเสียงไหม ผมว่าคงไม่ถึงขนาดนั้น แต่ก็มี Tonal balance เสียงกลางแหลม ที่แตกต่างจากคนอื่นจนรู้สึกได้ ชอบไม่ชอบก็ต้องอยู่กับรสนิยมของคนฟังครับ

ลักษณะของเวทีเสียงของ 3.8 ชนะใจผมขาด เป็นเสียงดีที่สุดที่ผมได้ฟังในการ พยายาม ซื้อลำโพงใหม่ครังนี้  นี่เรียกว่าเป็นรสนิยมส่วนตัวของผมเลย มันเป็นอย่างไรคุณก็ลองหาโอกาส ฟัง Proac รุ่นใดก็ได้ นั่นละครับ เวทีเสียงอย่างที่ผมชอบ กว้างๆ ลึกๆ เคลียร์ชัดใส เห็นชัดโดย ไม่ต้องคะเน เสียงแซกอย่ตรงไหน ต้องเห็นได้เป็นจุดคมๆ ไม่ใช่เป็นเพียงจุดเบลอๆอยู่ข้างหน้า

ผมไม่รู้ว่า รสนิยมอย่างนี้มันถูกหรือมันผิด มันคงเป็นประเด็นที่ว่า เวลาเราไปฟังดนตรี จริงๆ Focus ที่เราได้ยินนั้น มันเป็นอย่างไรกันแน่ ซึ่งผมพยายามจับจุดตรงนี้อยู่เหมือนกัน แต่ ก็สรุปไม่ได้ เพราะมันก็คมบ้าง เบลอบ้าง เปลี่ยนไปตามสถานที่ และตำแหน่งนั่งฟัง ใครมีความ คิดเห็นอะไรในประเด็นนี้ ว่างๆเขียนมาแลกเปลี่ยนความเห็นกันหน่อยก็ดีนะครับ

มีจุดหนึ่งที่ผมประทับใจคือ เพลงๆหนึ่งในแผ่น Test CD4.1 ของ Opus3 ซึ่งเป็นเพลง บรรเลงกีตาร์ 4 ตัวพร้อมกัน เท่าที่ผมเคยฟังมา ผมยังไม่เคยแยกได้ว่ากีตาร์ตัวที่สี่อยู่ตรงไหน  เพราะผมจะชี้ได้เพียงสามตัวเท่านั้น คือสองตัวซ้าย และหนึ่งตัวที่ข้างขวา ถึงผมจะะเดาได้ว่า ตัวที่สี่จะต้องอยู่ด้านขวาค่อนมาข้างในนั่นแหละ แต่ผมก็ไม่เคยชี้มันได้จริงๆสักครั้ง แต่ครังนี้ผม ชี้ได้ครับ และมันก็เป็นอย่างที่ผมเดาคือ เขาวางรูปวงไว้เป็นรูปสมมาตร และเว้นระยะของกีตาร์ แต่ละตัวเป็นระยะเท่าๆกัน

เสียงร้องหมู่ของ The weavers แยกกันชัดเจน และเคลียร์มาก มากกว่าทุกคู่ที่ได้ฟัง มาในเที่ยวนี้ นี่เป็นสิ่งประกันในคุณภาพของลำโพงในด้าน soundstage, focus, image, low  level detail และ accuracy ของมัน มันเป็นลำโพงที่มีคุณภาพเสียงกลางเสียงแหลม ทิ้ง NHT  VT2 ของผมชนิด ขาด  ย้ำ  ขาดดดดดดดดดด……

เพลงหลายๆเพลง ยังคงมีสเน่ห์ของมันเหมือนกับที่ response 4 ทำได้ คือทำให้ผมรู้สึก อยากฟังไปเรื่อยๆ ทำให้ผมเพลิดเพลินในการฟังมันได้ ถึงแม้ผมกำลังฟังมันอย่างตั้งใจชนิดพยา ยามจับผิดอยู่ก็ตาม ไฮเทค แจ้งว่า ลำโพงคู่นี้ยังไม่เบิร์น (เอ๊ อาเฮียแกไซโคเราหรือเปล่าหว่า)  แต่ผมขอบอกว่า เสียงกลางเสียงแหลมของลำโพงคู่นี้อยู่ในขั้นดีมากอยู่แล้ว ไม่รู้ว่าถ้าเบิร์นแล้ว  มันจะขึ้นไปได้อีกกี่เปอร์เซ็นต์ เสียงร้อง เสียง Sax เสียงเปียโน เสียง Cymbal เสียงเคาะฉาบใน แผ่น The age of Swing ของ Dick Hyman แหมผมอยากให้คุณได้ยิน  ติ๊งๆๆๆๆ นี่ ผมนั่งฟัง แล้วชื่นใจบอกไม่ถูก

ในขณะที่นั่งฟัง ผมคิดถึงคำว่า ซื้อเลย อยู่หลายๆแว๊บในใจเหมือนกัน ผมบอกกับตัวเอง ว่า ใช่เลย อยากได้อย่างนี้นี่แหละ  แล้วผมซื้อหรือเปล่า ยังครับ ผมเป็นคนอย่างนี้เสมอมา ชอบ ตัดสินใจช้าๆ คิดนานๆ ไม่ชอบร้อนรนซื้อ  เพราะผมไม่ชอบเปลี่ยนเครื่องเสียงเร็วๆ และบ่อยๆ ประเภทซื้อมาได้สามเดือนก็ประกาศขายต่อ นั่นไม่ใช่ผมแน่ครับ

จุดติของลำโพงคู่นี้ นอกเหนือจากเสียงเบสของมันที่นุ่มๆ น่วมๆ ไม่ tigh ไม่ quick ,  Impact ไม่เยี่ยมแล้ว (แต่อาจจะเนื่องมาจากการเซ็ทอัพก็ได้)  อีกจุดหนึ่งก็คือราคาของมัน ผม บอกไฮเทคว่า ให้บอกราคาขาดตัวมาเลย เขาให้มา 325,000 บาทครับ ซึ่งค่อนข้างแพงเมื่อคิด ถึงราคา 7,200$ ของมัน ที่อเมริกา ตกถึงดอลล่าร์ละ 45 บาททีเดียว ไม่น่าแพงขนาดนั้น ถ้า ราคามันสัก 290,000 ผมก็คงสนใจมันมาก ถ้าสัก 300,000 ผมก็จะสนใจมันทีเดียว  แต่ที่  325,000 ผมขอคิดก่อนครับ เพราะ Thiel CS6 ที่ราคา $8,000 นั้น Elpa shaw ขาย 310,000 บาทเอง ตกดอลล่าร์ละ 38 บาท Proac เป็นลำโพงอังกฤษ ราคา $7,200 เป็นราคาที่รวมภาษี นำเข้าอเมริกาแล้วด้วยซ้ำ อันที่จริงมันควรอย่างยิ่งที่จะต้องถูกกว่า CS6 นะครับ

เขาบอกว่าเขาเอาเข้ามาสองคู่เท่านั้น ซึ่งก็คงจะจริงอย่างที่เขาบอก  การขายลำโพงคู่ ละสามแสนในสมัยนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายนัก ไม่มีประโยชน์ที่จะแบกสต้อคหนักให้หลังแอ่น  มันก็คงจะ เป็นการวัดใจระหว่างเขากับผมละครับ ว่าใครจะยอมใคร เขาก็คงถือว่าถ้าใครชอบมันจริงก็คง ไม่เกี่ยงราคา มีอยู่แค่สองคู่  อาจจะขอกำไรมากๆหน่อย แต่ถ้าเขาตั้งราคาสูงเกินไป มันอาจจะ ขายไม่ได้เลยสักคู่ก็ได้

ผมเองคงจะกลับไปฟัง Aerial 10T และ Thiel CS6 อีกครั้ง  10T นั้น ผมคงจะต้องขอ เซ็ทใหม่ เพราะดูจากคำวิจารณ์มันควรจะให้ soundstage ดีกว่านั้น  CS6 นั้น ผมสงสัยจริงๆ  ว่าทำไมเสียงถึงออกมาไม่ดีขนาดนั้น ก็คงไปฟังที่ Elpa show อีกสักครั้ง คงไม่ขอให้เขายกไป ที่ Deco อีกแล้ว เผื่อผมไม่ชอบมันอีก มันจะได้ไม่ดูน่าเกลียด หรือน่ารำคาญมากเกินไป ผมก็ เกรงใจเขาเหมือนกันครับ

หรือ….. ผมอาจจะไม่ซื้ออะไรเลยก็ได้ เพราะจริงๆแล้ว ถึงตอนนี้  ก็ยังไม่มีลำโพงคู่ใด เลยในงบประมาณเท่าที่ผมมีอยู่ ที่จะทำให้ผมไม่มีข้อตำหนิให้กับมัน คิดๆดูเสียเงินก็ตั้งสาม แสน  ทำไมซื้อมาแล้วผมยังหาข้อตำหนิมันได้อีก มันน่าจะเป็นลำโพงที่ perfect ในทุกด้านนะ ครับ เอ๊ะ หรือ ผมเรียกร้องมากเกินไป……

สารบัญ

 

วันที่ผมตัดสินใจซื้อ

เมื่อผมได้มีโอกาสได้กลับไปฟัง Thiel CS6 อีกครั้งหนึ่ง และแน่ใจแล้วว่า ProAc 3.8 คือ ลำโพงที่ผมต้องการที่จะอยู่ร่วมด้วย  ถึงแม้ผมจะยังไม่ได้กลับไปฟัง Aerial 10T อีกครั้ง แต่ผมก็ รู้ว่าตัวเองหลงสเน่ห์ ProAc เข้าให้แบบเต็มเปา  อีกประการหนึ่ง ถึงแม้ผมจะรู้ว่า ผมยังไม่ได้ฟัง 10T ในสภาพการเซ็ทอัพที่ถูกต้องเพียงพอ แต่ผมค่อนข้างแน่ใจว่า ห้องฟังของผมคงจะรับเบสของ 10T ไม่อยู่แน่ๆ ดังนั้น คงจะไม่มีลำโพงตัวอื่นในท้องตลาดอีกแล้ว ที่ผมจะชอบมากกว่า ProAc ตัว นี้

จริงอยู่ ผมอาจจะยังไม่ได้ไปฟังลำโพงครบทุกตัวที่มีอยู่ในตลาด แต่ มีบางยี่ห้อ ที่ผมปฎิเสธ ที่จะไปฟัง เพราะมันเป็นสินค้าในค่ายที่ผมเกลียดและต่อต้าน  มีบางยี่ห้อที่ บอกว่า ห้องฟังเขาไม่ สมบูรณ์พร้อม ให้ผมซื้อไปฟังที่บ้านรับรองว่าเสียงดีแน่  อย่างนี้ก็ไม่ไหวละครับ ผมไม่เสี่ยงด้วย หรอก  มีบางยี่ห้อที่อาจจะดี ผมก็ไม่ทราบเหมือนกัน แต่เซ็ทอัพไม่ดี และสภาพห้องก็ไม่ดีเลย ฟัง แล้วตัดใจชอบไม่ลง ทั้งๆที่เป็นยี่ห้อที่มีชื่อเสียงโด่งดังนี่แหละ

ดังนั้นผมจึงตัดสินใจซื้อ ProAc 3.8 ปัญหาต่อไปคือ ผมรู้สึกว่า ราคาที่ทางไฮเทคออดิโอ บอกผมนั้นสูงมากเกินไป มากจนผมคิดว่า ถ้าเขาจะเอาราคานั้น ผมก็จะไม่ซื้อ (ในระยะหลัง ผมได้ ข่าวจากหลายๆท่านว่า เฮียบักบอกราคารุ่นนี้ถูกกว่าที่บอกไว้กับผมมาก ผมก็ไม่รู้ว่าทำไมแกถึง ผีเข้าผีออกอย่างนี้) อันที่จริงผมพยายามเสมอที่จะซื้อจากร้านค้าที่ให้บริการผมดีๆ  แต่ถ้าหากคิด ค่าบริการโดยขายแพงไปหลายๆหมื่นอย่างนี้ผมก็คงต้องถอย

ผมจึงเริ่มต้นโทรปรึกษา และติดต่อหาดูว่ามีใครบ้างที่ขายสินค้าตัวนี้บ้าง ก็ไปได้มาราย หนึ่งคือ เปเล่ ซึ่งเป็นคนที่เคยอยู่ร้าน ไฮไฟคลับ ของเฮีย ประเสริฐ เขาเสนอราคาที่ 260,000  บาท (ราคาของไฮเทคคือ 325,000)  ผมเห็นว่าเป็นราคาที่น่าสนใจ จึงคุยกัน ทาง เปเล่ บอก ให้ผมวางมัดจำ ซึ่งผมปฎิเสธไป

ถ้าผมวางมัดจำไป ผมเกรงว่าผมอาจจะสูญเงินมัดจำไปได้ดื้อๆ โดยที่ไม่มีโอกาสจะได้ ลำโพงในกำหนดเวลาที่แน่นอน  แต่ทาง เปเล่ เองก็ไม่สามารถติดต่อสั่งสินค้าได้ ถ้าหากไม่มี เงินมัดจำ  ซึ่งคาดว่าทาง 4D คงไม่ได้ให้เครดิตทางการค้ากับเปเล่เลย

พอดีวันถัดไป ผมทราบว่า 4D ไปออกงาน Hi-fi Grand Sale ผมจึงไปเดินดูงาน ผม พบว่า 4D ประกาศขาย 3.8 ในราคาเดียวกัน ผมจึงนั่งคุยกับคุณชาญชัย เกี่ยวกับเรื่องที่ผม จะซื้อ 3.8  โดยบอกว่าผมคือลูกค้าที่จะเอา 3.8 และผมจะซื้อแน่ๆ ซึ่งคุณชาญชัยก็ทราบเรื่อง จากทาง เปเล่ แล้ว ผมบอกว่าผมยินดีวางเงินมัดจำ แต่จะต้องเป็นการวางเงินกับ 4D โดยตรง และ 4D จะต้องเป็นผู้รับประกันว่า ผมจะได้ของเมื่อไร

ซึ่งคุณชาญชัยไม่มีข้อขัดข้อง แต่บอกว่าผู้รับผิดชอบในการส่งของไปให้ผมที่หาดใหญ่ นั้น ต้องเป็น เปเล่ เป็นผู้จัดการ ทาง 4D จะรับผิดชอบค่าใช้จ่ายแค่ตอนที่ส่งถึงมือ เปเล่ เท่านั้น  ซึ่งผมก็ไม่มีอะไรขัดข้อง  อันที่จริง ในขั้นตอนนี้ ผมจะล้มข้อตกลงกับ เปเล่ ก็ได้ โดยติดต่อกับ  4D โดยตรงก็ได้ แต่ผมก็ไม่ทำ เพราะผมต้องการรักษาคำพูดของผม เมื่อพูดไปแล้ว ผมก็ควรจะ รักษาคำพูดไว้  ซึ่งในภายหลังผมพบว่า ผมคิดผิด

ในวันรุ่งขึ้น เราจึงนัดเจอกันทั้งสามฝ่าย เพื่อเคลียร์ข้อตกลงทั้งหมด ผมวางเงินมัดจำ 52,000 กับ 4D  ของจะได้ภายใน 60 วัน  หลังจากนั้น ผมก็กลับหาดใหญ่ ไปนั่งนับวันรอหวานใจ คนใหม่ของผม

สารบัญ

 

เรื่องที่ไม่คาดฝัน

ผมตกลงซื้อลำโพงในประมาณเดือน 10 พอประมาณปลายเดือน 12 ลำโพง ก็มาถึง ทาง 4D โทรมาแจ้ง ผมก็จัดเตรียมการเดินทางขึ้นไปรับลำโพงทันที ผมเดินทางไปที่ออฟฟิศของ 4D ถนนศรีนครินทร์   ผมโทรนัด เปเล่ เอาไว้ด้วย เพื่อที่จะไปจัดการส่งลำโพงให้ผม เราตกลงกันด้วย ว่าเปเล่จะต้อง ตีกล่องไม้ให้ผม โดยตีเฉพาะโครงคร่าวเท่านั้น ผมตั้งใจจะให้ตีเป็นลังไม้ฉำฉา  เหมือนตอนที่ Conice ส่งลำโพง NHT ให้ผม ซึ่งเขาจัดส่งมาได้ดีมาก

เมื่อผมไปรับลำโพง เปเล่ ยังมาไม่ถึงตามเวลานัด  แต่ผมก็เริ่มต้นตรวจสอบลำโพง โดยแกะ ลำโพงออกมาจากกล่อง ตวจสภาพภายนอก และต่อกับชุดเครื่องเสียงเพื่อฟังดูว่า เสียงออกจาก Driver ครบทุกตัวหรือไม่ หลังจากนั้น ผมก็บอกให้เขาแพ็คกลับลงกล่อง โดยที่ผมไม่ได้อยู่ดูตอน ที่เขาแพ็คกลับไป โดยไปนั่งเจรจากับคุณชาญชัย เรื่องราคาของว่า พอจะลดราคาให้ผมได้บ้างไหม (ตอนนั้น ค่าเงินบาทแข็งขึ้นนิดหน่อย) ซึ่งคุณชาญชัยได้ปฎิเสธมา ซึ่งก็เป็นเรื่องปกติ เพราะผมต้อง รับผิดชอบในข้อตกลงที่ตกลงไปล่วงหน้าแล้ว  จะไปบิดพลิ้วไม่ได้ ผมก็เพียงแต่แย๊บๆดู เผื่อฟลุ๊ค เท่านั้น

เปเล่ เพิ่งมาถึง เมื่อเลยเวลานัดไปสักพักหนึ่ง เมื่อเขามาถึง ผมก็ส่งมอบลำโพงให้เขาไป เขา แจ้งว่ายังต้องใช้เวลาอีกหลายวันในการส่งลำโพงให้ผม เพราะเขายังไม่ได้ตีลังไม้ให้ผมเลย ซึ่งผิดจาก ที่ผมคาดไว้ว่า ลังไม้จะเตรียมพร้อมอยู่แล้ว แต่ผมก็คิดว่าไม่มีอะไร เพราะลำโพงก็แพ็คอยู่ในกล่อง เรียบร้อยดี คงไม่มีปัญหาอะไร ผมเซ็นเช็คจ่ายไปอีกสองแสนกว่า และมอบให้กับทางคุณชาญชัยไป ส่วนกำไรที่เปเล่จะได้ ก็เป็นเรื่องที่ทางเขาสองคน ต้องไปจัดการกันเอง แต่ผมจะตีเช็คสั่งจ่าย 4D ทุกฉบับ เพราะผมกลัวว่าเงินผมจะโดนหมุนไปทางอื่นก่อน

หลังจากนั้นผมก็กลับหาดใหญ่ ผมยังคงต้องรออีกหลายวัน ทั้งๆที่ลำโพงควรจะถึงได้แล้ว แต่ทางเปเล่อ้างว่า เขากำลังจ้างคนทำกล่องอยู่ ซึ่งผมก็ค่อนข้างแปลกใจว่า โครงไม้ที่ว่านี่ ไม่น่าจะ ทำยากและต้องใช้เวลานานขนาดนี้ อย่างไรก็ตาม ในที่สุดลำโพงก็มาถึงผมที่หาดใหญ่

เมื่อผมแกะลำโพงออกจากกล่อง ผมต้องตกใจมาก เมื่อพบว่า ในถุงพลาสติกซึ่งห่อหุ้มตู้ ลำโพงอยู่นั้น มีน๊อตเหล็กของ Binding Post ของตู้ลำโพงกลิ้งอยู่สองตัว ยิ่งไปกว่านั้น อีกข้าง หนึ่งก็มีเหตุการณ์เช่นเดียวกัน ซ้ำร้ายน๊อตเหล็กยังขาดหายไปอีกหนึ่งตัว

คุณลองนึกถึงคุณถือถุงพลาสติกไว้ แล้วเอาตู้ลำโพงไม้ขนาดเล็กกว่าถุงหน่อยหนึ่งใส่เข้าไป แล้วก็โยนน๊อตเหล็กสองตัวเข้าไปในถุงนั้นด้วย  แล้วก็จับมันเขย่า  อะไรจะเกิดขึ้น  ใช่ครับ  รอย ขูดขีดจากเหล็กที่ถูไถ เสียดสีกับเนื้อไม้จะเกิดขึ้นทันที

ณ วินาทีนั้น ผมยอมรับว่า ผมโกรธจนหูอื้อ  ผมคาดไม่ถึงจริงๆว่า จะมีใครซื่อบื้อ แพ็ค ลำโพงมาเช่นนี้  ตลอดชีวิตของการเล่นเครื่องเสียง ผมไม่เคยเจอเหตุการณ์เช่นนี้ และผมค่อนข้าง ไว้ใจผู้ขายเสมอ  ผมเคยทิ้ง Mark Levison ให้ Deco ช่วยแพ็คแล้วส่งกลับให้ผม เครื่องมันก็มา ในสภาพสมบูรณ์พร้อม ผมยอมรับว่า ผมคาดไม่ถึงจริงๆว่าเหตุการณ์เช่นนี้จะเกิดขึ้นได้

รอยที่เกิดขึ้น เกิดขึ้นด้านหลังลำโพงทั้งสองข้าง เป็นรอยลวดลายของหัวน๊อตเหล็กอย่าง ชัดเจน  ผมนั่งมองมันด้วยความรู้สึกที่บอกไม่ถูก  ผมโทรไปแจ้งทาง 4D ว่าน๊อตหายไปหนึ่งตัว แล้วก็วางหู  กลับมานั่งมองดูมันนิ่งๆ ผมถามตัวเองว่า ถ้าผมต้องเห็นไอ้รอยนี้ไปตลอดเวลาอีกหลาย ปีข้างหน้า  ผมจะรู้สึกเช่นไร  ทั้งๆที่ผมจ่ายเงินไปเต็มวงเงินโดยไม่ได้บิดพลิ้ว ขี้โกง หักคอลดราคา หรือกระทำสิ่งที่คนเลวๆทั้งหลายจะพึงปฏิบัติกัน  ทำไมผมซึ่งเป็นลูกค้า และตรงไปตรงมา จึงต้อง รับกรรมเช่นนี้ด้วย

ผมจึงโทรไปถามเปเล่ว่าเขามีแกะลำโพงออกมาไหม เปเล่ปฎิเสธโดยสิ้นเชิง  ผมโทรไปแจ้ง ทาง 4D ถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้น และแจ้งว่า ผมต้องการลำโพงคู่ใหม่ แทนที่ลำโพงที่มีตำหนิคู่นี้ คุณ ชาญชัย รับเรื่องร้องทุกข์จากผมและบอกว่าจะติดตามสอบสวนให้

ตลอดระยะเวลาประมาณ 1 เดือนถัดมา ผมหมดเวลาไปกับการโทรติดต่อถามข่าวคราว ความคืบหน้า ในระยะเวลานั้น ผมไม่ได้ต่อ ProAc ฟังแม้แต่แอะเดียว ผมยอมรับว่า มันหมดอารมณ์ ที่จะทำอะไรไปจนหมด อาการเซ็งนี่คงที่อยู่เป็นระยะเวลานาน  ผมไม่คาดว่า ผมจะมาตายน้ำตื้น เช่นนี้

คุณชาญชัยติดต่อแจ้งมาว่า ทางพนักงานของ 4D ยืนยันว่าได้แพ็คลำโพงแล้วอย่างดี ไม่ ได้คลายน๊อตออกมาจนมันหลุดออกจากที่ ที่มันควรจะอยู่  ทางเปเล่ก็ยืนยันตัวเขาเองไม่ได้แกะ ลำโพงออกมาลองเล่นลองฟัง  แต่ลำโพงของผมเป็นรอย  เป็นรอยโดยที่ไมีใครก่อเหตุเช่นนั้นหรือ เป็นไปไม่ได้ครับ

อย่างไรก็ตาม คุณชาญชัยแจ้งให้ผมทราบว่า ขอให้สบายใจ เพราะ 4D จะพยายามจัดการ ให้เรื่องนี้จบลงด้วยความสบายใจของผม  อีกสักพักหนึ่ง ก็มีพนักงานของ 4D คนหนึ่งเดินทางลง มาดู ลำโพงของผม พร้อมกับถ่ายรูปไว้เป็นหลักฐาน

หลังจากนั้น ผมก็ติดต่อคุณชาญชัยอีก คุณชาญชัยแจ้งว่าทางผู้ใหญ่ได้อนุมัติให้เปลี่ยน ลำโพคู่ใหม่ให้ผมแล้ว ขอให้ผมส่งลำโพงคู่เก่ากลับไป  ผมก็จัดการแพ็คลำโพงกลับไปให้ทันที โดย ที่มันยังคงอยู่ในสภาพเดิม 100% เพราะผมไม่ได้ต่อมันฟังเลย (ปัจจุบัน ลำโพงตัวดังกล่าว จะอยู่ ที่โชว์รูมของ 4D ที่ Hi-fi Center สนใจ เชิญไปดูรอยที่ด้านหลังของลำโพงได้)

คุณชาญชัยแจ้งว่าลำโพงตัวใหม่คงจะมาถึงประมาณปลายเดือนมีนาคม ซึ่งผมก็เฝ้ารอ มันด้วยใจจดจ่อ  เงื่อนไขในการรับลำโพงคู่ใหม่ครั้งนี้ มีเงื่อนไขว่า 4D จะรับผิดชอบ แค่ตอนที่ส่ง มอบของให้ผมเท่านั้น ขอให้ผมตรวจสอบลำโพงให้ดี หากมีปัญหาอีก 4D จะไม่รับผิดชอบปัญหา ที่เกิดจากการขนส่งอีกต่อไป  และค่าใช้จ่ายในการขนส่งทุกอย่างที่เกิดขึ้น ผมจะต้องเป็นผู้รับผิด ชอบไปทั้งหมด

ซึ่งผมเองก็ไม่ได้มีอะไรขัดข้อง  ถึงแม้เรื่องที่เกิดขึ้น จะไม่ใช่ความผิดของผมแม้แต่น้อย และทำให้ผมต้องเกิดค่าใช้จ่ายโดยไม่จำเป็นอีกหลายพันบาท  แต่ผมก็เข้าใจดีว่า ทาง 4D ก็เกิด ความเสียหายขึ้นเช่นกัน มันเป็นเรื่องที่อยากจะเรียกว่า โชคร้ายของทั้งสองฝ่าย  ผมถือว่า ขอเพียง 4D ยอมเปลี่ยนลำโพงคู่ใหม่ให้ผม ผมก็พอใจ ไม่คิดอยากจะทำให้การเจรจาต้องดำเนินไปอย่าง เคร่งเครียด  ทำหน้าบูดบึ้งใส่กันโดยไม่จำเป็น  ในเมื่อทาง 4D ก็ได้แสดงความรับผิดชอบต่อผม เป็นอย่างดี  ไม่ได้ทำให้ผมต้องติดตามเรื่องอย่างยากลำบาก หรือใช้เวลานานในการเจรจา คุณ ชาญชัยเองก็ไม่เคยแสดงท่าทีว่าจะไม่รับผิดชอบ หรือปัดการดูแลผม  ผมก็ควรจะพยายามช่วย ให้เรื่องที่เกิดขึ้น จบลงโดยเร็วที่สุด  ที่สำคัญ คือ ผมรู้สึกสบายใจที่จะจ่ายเพิ่ม คือเรื่องพวกนี้ บางทีก็ไม่ได้ขึ้นกับจำนวนเงิน มันขึ้นกับความรู้สึกสบายใจมากกว่า ถ้าลองว่าไม่สบายใจในการ เจรจา บางทีเงินเพียงบาทเดียว ผมก็อาจจะไม่ยอมจ่าย ผมอาจจะเถียงชนิดถึงไหนถึงกัน แต่ถ้า มันเป็นไปอย่างราบรื่น สัก สาม-สี่พันบาท ผมก็ไม่ว่าอะไรหรอก  ผมพอจะจ่ายไหว

เรื่องราวที่เกิดขึ้นนั้น มีความเป็นไปได้อยู่สองประการ คือ

1. ทางพนักงานของ 4D แพ็คของไม่ดี โดยในขณะที่เอาของลงกล่องนั้น ไม่ได้ตรวจเช็ค ให้ดีว่า น๊อตเหล็กที่อยู่ในขั้ว Binding Post นั้น ได้ขันไว้อย่างแน่นหนาแล้วหรือยัง เมื่อทำการขนส่งน๊อตอาจจะหลุดออกมาแล้วไปทำความเสียหายให้กับลำโพงได้ ซึ่งต่อไปผมคงจะต้องเฝ้าดูแลการแพ็คของอย่างใกล้ชิดเสมอ
2. เปเล่ เอาของไปพักไว้หลายวัน ในระหว่างนั้น ได้แกะลำโพงออกมาฟัง โดยไม่ได้รับ อนุญาต และเป็นสิ่งที่ไม่ควรกระทำเป็นอย่างยิ่ง หลังจากฟังจนพอใจจึงค่อยส่งลำโพง ให้ผม แต่ตอนที่แพ็คกลับนั้น ไม่ได้แพ็คดีๆ แต่โยนน๊อตลงไปในถุงพลาสติกอย่างไร้ ความรับผิดชอบ  ส่วนน๊อตอีกตัวที่หายไป ก็อาจจะเป็นเพราะลืมโยนมันลงมาด้วย การกระทำเช่นนี้ บอกตรงๆว่า ผมไม่รู้จะป้องกันอย่างไร เพราะมันขึ้นอยู่กับความรู้สึก รับผิดชอบชั่วดี  รู้ว่าอะไรควรไม่ควร คำนึงถึงการติดต่อ ค้าขาย กันในอนาคต ผมไม่รู้ ว่าเปเล่ทำเช่นนั้น หรือไม่ ผู้ที่จะรู้แน่อยู่แก่ใจ ก็มีเพียงผู้เดียว คือ ตัวเปเล่เอง

อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เป็นอุทาหรณ์ที่นักเล่นทุกท่านได้โปรดพึงระวัง อย่าได้ เจอเหตุการณ์เช่นนี้กับตัวท่านเอง สำหรับผม ผมขอชมเชยว่า 4D เป็นบริษัทที่มีความรับผิดชอบ ต่อลูกค้าอย่างดียิ่ง ผมพอใจในสินค้าและการบริการ ความรับผิดชอบที่ 4D มีต่อผม และในอนาคต ข้างหน้า ผมจะยังคงให้ความไว้วางใจซื้อหาสินค้าของ 4D มาใช้อีกในอนาคต

สำหรับ เปเล่  นี่คงจะเป็นครั้งแรกและครั้งเดียว ที่เราจะมีโอกาสได้ทำการค้าร่วมกัน คุณ กับผมจะไม่ได้เจอกันอีกเลย นี่รวมถึงร้านค้าทุกร้านในศูนย์การค้าเยาฮันด้วย (ยกเว้น ร้านขายของ มือหนึ่ง อย่าง นิคส์สตูดิโอ) ผมไม่ได้บอกว่าคุณเป็นฝ่ายทำอะไรผิด  ผมเพียงรู้สึกไม่สบายใจที่จะ ทำการติดต่อค้าขายกับคุณอีกต่อไป

ผมรู้สึกว่าตัวเองไม่เหมาะสมที่จะไปติดต่อกับร้านค้าในเยาฮัน เพราะโดยนิสัยตรงไปตรงมา ของผม จะทำให้ผมคาดไม่ถึง ถึงเหตุการณ์หลายๆอย่างที่อาจจะเกิดขึ้นกับผมอีกในอนาคต อีกทั้งผม อยู่ต่างจังหวัด เวลามีเรื่องผิดพลาดขึ้นมา ผมจะไม่สามารถมาตามเคลียร์เรื่องได้ อย่างเช่นในครั้งนี้ ถ้าไม่ได้คุณชาญชัยช่วยติดตามเรื่องให้ ผมไม่รู้ว่า มันจะใช้เวลาอีกนานเท่าไร อาจจะปล่อยให้ผม เบื่อจนเลิกตามเรื่องไปเองก็ได้

นี่เป็นเหตุการณ์ที่แสดงให้เห็นว่า นักเล่นเครื่องเสียงจากภูธรนั้น มีข้อเสียเปรียบนักเล่น ในเมืองกรุงหลายอย่าง เหตุการณ์นี้จะไม่เกิดขึ้นกับผมเลย เพียงถ้าผมอาศัยอยู่ในกรุงเทพ เพราะ ผมสามารถบอกให้เขามาส่งของที่บ้านผมได้ ถ้าหากของมีปัญหา ผมสามารถตีของกลับได้ทันที ดังนั้น ถึงผมจะสนใจของมือสองสภาพดี ราคาถูกปานใดก็ตาม ผมคงจะไม่คิดซื้อมันจากร้านขาย เครื่องมือสองร้านใดทั้งสิ้น เพราะข่าวในทางไม่ดีเกี่ยวกับลูกเล่นสารพันที่แว่วมาเข้าหูผมนั้น (ผู้ ที่โดนก็เป็นนักเล่นในเมืองกรุงนี่แหละ โดนได้ทั้งนั้น ไม่จำเป็นต้องอยู่บ้านนอกอย่างผมหรอก) ต้องยอมรับว่าผมตามไม่ทัน และรู้สึกเหนื่อยใจเกินกว่าจะไปเล่นเกมใดๆกับร้านขายของมือสอง ทุกร้านในกรุงเทพ  ต่างคน ต่างอยู่ดีกว่าครับ  อย่าได้มาเจอะเจอกันอีกเลย

(ไม่นับรวมสินค้ามือสองที่ทางผู้แทนจำหน่ายเป็นผู้ขายโดยตรง เช่น Conice ขาย เป็น ต้น เพราะจะมีการรับประกันดูแล จากผู้แทนจำหน่ายโดยตรง ผมซื้อ NAD 906 มือสอง มาใน ราคาแสนถูก และมีคุณภาพดี ไม่เคยก่อปัญหาใดๆให้ผมเลย)

สารบัญ

 

แกะกล่องมาฟัง

ในที่สุดลำโพงที่ผมรอคอยมากว่าหกเดือนก็มาถึง คุณชาญชัยโทรมาแจ้งผม พร้อมกับ นัดวันที่จะไปรับของ โดยนัดส่งมอบกันที่ ออฟฟิศของ 4D ที่ศรีนครินทร์ การนัดกัน มีอันต้อง เลื่อนออกไปถึงสองครั้ง ครั้งละหนึ่งอาทิตย์ เพราะเหตุที่ผมติดธุระจำเป็นบางประการ แต่ในที่ สุด ผมก็เดินทางขึ้นไปรับลำโพง เมื่อวันจันทร์ที่ 31/5/42 ที่ผ่านมา

การแกะกล่องออกมาตรวจสอบ และแพ็คกลับเข้าไปไม่มีปัญหา ผมขอให้ทาง 4D ช่วย จัดหาคนและรถเพื่อบรรทุกลำโพงไปส่งที่ดอนเมืองให้ผมด้วย เพราะผมไม่มีปัญญาจะขนไปเอง ซึ่งก็ได้รับความอนุเคราะห์จากคุณชาญชัยด้วยดี  ต้องขอขอบพระคุณมา ณ โอกาสนี้ด้วย

ผมตรวจสอบลำโพงอย่างละเอียด และยืนดูการแพ็คของกลับเข้าไปอย่างใกล้ชิด เพื่อ ป้องกันไม่ให้มีสิ่งที่ไม่คาดฝันเกิดขึ้นอีก เพราะเงื่อนไขการรับผิดชอบของ 4D จะสิ้นสุดลงที่หน้า บริษัทเขาเลย หลังจากนั้นจะเป็นความรับผิดชอบของผมแต่ผู้เดียว ผมไม่สามารถจะไปเคลมให้ บริษัทรับผิดชอบอะไรได้อีก (เป็นข้อตกลงที่ยอมรับกันทั้งสองฝ่าย)

ผมนัดกับคนที่มาช่วยขนของที่อาคารคลังสินค้าภายในประเทศ แล้วผมก็ขับรถล่วงหน้า ไปก่อน  เมื่อลำโพงไปถึงดอนเมือง ผมก็จัดการติดต่อ ชำระ ค่าขนส่ง ขึ้นเครื่องบินกลับหาดใหญ่ เจ๊งไป 2,500 แล้วก็กลับมานอนที่พักในกรุงเทพด้วยความสบายใจ (ค่าส่ง 1,200 ค่าประกันของ เต็มมูลค่าของลำโพง อีก 1,300 บาท)

หลังจากหมดธุระเรื่องทำมาหากินที่กรุงเทพ ผมก็บินกลับหาดใหญ่ในอีกสาม-สี่วันถัดมา ลำโพงรออยู่หน้าห้องฟังแล้ว เพราะผมสั่งให้คนไปรับของจากสนามบินตั้งแต่วันแรกที่มันไปถึง ผมจัดการแกะกล่อง พร้อมผู้ช่วยอีกคนหนึ่ง ยกลำโพงคู่ใหม่เข้าไปในห้อง  เอาลำโพงคู่เก่าออกไป ให้พ้น (ใหม่ๆหน้าตาจุ๋มจิ๋ม เก่าๆมันขึ้นสนิม อิ อิ) ติดตั้งฐานไม้เข้ากับตัวตู้ลำโพง แต่ยังไม่ติด spike  เพราะ ยังมีภาระการเผา (Burn) ลำโพง และการเซ็ทอัพ (ที่น่าเบื่อหน่าย) รออยู่ข้างหน้า

ผมวางลำโพงโดยคร่าวๆ เข้าไป ณ จุดเดิม ที่ผมวาง NHT VT2 ไว้ จัดการต่อสายลำโพง  Kimber แบบ Biwire เข้ากับ Binding Post ของลำโพง ProAc เปิดสวิทช์ Power amp Mark  no.331 รอให้มันอยู่ในโหมด Stand-by อย่างน้อย 30 วินาที แล้วจึงค่อยกด สวิทช์อีกครั้ง เพื่อให้ มันอยู่ในภาวะที่พร้อมจะทำงาน เปิด CD Transport ใส่แผ่นเข้าไปเรียบร้อย  ฮ่าๆ…  ผมพร้อมแล้ว ที่จะฟังมัน

เอ๊ะ…. แต่เดี๋ยวก่อน Hi-fi Stereo เคยเตือนไว้ว่าก่อนจะเล่นอะไรก็ตาม จงศึกษาคู่มือก่อน เสมอ  แต่มันก็ไม่มีอะไรนี่หว่า  เอาน่ะ อ่านซะหน่อยแล้วกัน เอาคู่มือขึ้นมาอ่าน – เราขอขอบคุณที่ ให้ความไว้วางใจซื้อลำโพงของเรามาใช้………….(ตัดตอน)………… หลังจากที่ท่านนำลำโพงออกจาก กล่องแล้ว เราขอให้ท่านหักห้ามใจ ที่ต้องการจะเล่นมันในทันที ลำโพง ProAc ควรจะได้รับการนำมา วางในห้องฟังเฉยๆ โดยไม่เปิดใช้งาน ที่อุณหภูมิ ประมาณ 16 องศาเซลเซียส ประมาณ 2-3 ชั่วโมง เป็นอย่างน้อย

โอ… สวรรค์ล่ม…..  อะไรของมันล่ะนี่  ไม่เคยพบเคยเห็น ลำโพงอะไรวะเนี่ย  แต่ผมจะไป เถียงคนออกแบบได้ยังไงกัน ก็เลยต้องปิดแอมป์ เก็บแผ่น CD ปิดเครื่องเล่น  ตั้งอุณหภูมิห้องไว้ที่  16 องศา  แล้วเดินออกจากห้องไปอย่างหงอยๆ  ไปเล่นเน็ทแก้เซ็งดีกว่า  ฮู้ววววววว…….

สารบัญ

 

ผ่านไป 2 ชั่วโมง

เพิ่งคุยผ่าน ICQ กับคุณปราโมทย์เสร็จ ก็เดินกลับมาที่ห้องฟังเพลง  ปกติผมจะต้องเข้านอน แล้ว ตอนเวลาสี่ทุ่มเช่นนี้ แต่เนื่องจากกำลังบ้าเห่อลำโพงคู่ใหม่เป็นอันมาก จึงยอมนอนดึกหน่อยละ คืนนี้

ห้องฟังเย็นเฉียบเชียว ก็เล่นปรับอุณหภูมิไว้ที่ 16 องศานี่ พวกพลังงานหารสองมาเห็นนี่ คง บ่นกระปอดประแปดไม่จบเชียวละ  ผมจัดการเพิ่มอุณหภูมิไปที่ 25 องศา เพราะผมเป็นพวกขี้หนาว แล้วก็เปิด system ทุกชิ้นตามลำดับไหล่ ใส่แผ่น CD เข้า CD Transport แล้วก็นั่งที่เก้าอี้นั่งฟัง กด สวิทช์ Play

เสียงเป็นไง  ใช้ได้ครับ แต่แย่กว่าตอนผมไปฟังที่ ไฮเทคพอสมควร ฟังจากคุณภาพเสียง กลาง เสียงแหลมแล้ว คู่ของไฮเทคผ่านระยะ Burn-in แล้วแน่นอน ถ้าเสียงที่ยังซิงๆนี่ ต้องเป็นแบบ คู่ของผมถึงจะใช่

เสียงแหลมยังไม่พริ้ว เวทีเสียงยังไม่โปร่งใส บรรยากาศยังไม่มา แต่สิ่งหนึ่งที่ผมรู้สึกได้คือ ถึงจะเพิ่งเปิด คุณภาพเสียงกลางแหลมของมันก็ยังดีกว่า NHT VT2 คู่เก่าของผมอยู่ดี แต่ทางด้าน Soundstage นั้นแย่กว่า

แน่ละ ก็ผมแค่วางมันแบบมั่วๆนี่ครับ นี่เป็นสิ่งยืนยันประการหนึ่งว่า ลำโพงนั้นต้องการการ ดูแล เอาใจใส่ พิถีพิถันในการเซ็ทอัพให้มาก ไม่เช่นนั้น ลำโพงราคาแพงอาจจะให้เสียงสู้ลำโพงราคา ถูกซึ่งได้รับการเซ็ทอัพที่ถูกต้องไม่ได้  ดังนั้น กลับไปพิจารณาลำโพงของคุณดีๆ ก่อนที่จะซื้อลำโพง ใหม่  คุณเซ็ทอัพมันถูกต้องหรือยัง สิ่งนี้ทำให้เสียงดีขึ้นอย่างมาก โดยที่คุณไม่ต้องจ่ายเงินไปแม้แต่ บาทเดียว

สิ่งต่อไปที่ผมรีบฟังทันที คือ อาการเบสบูมในห้องฟังของผม  มันยังเป็นอยู่ไหม  ตอบ ยัง เป็นอยู่ครับ  ทั้งจากการฟังเพลงทั่วๆไป อย่างเช่นแผ่น soundtrack ของ Titanic และแผ่น Test ของ Stereophile อาการบูมที่ความถี่แถวๆ 60 Hz ยังคงอยู่ ไม่ยอมไปๆให้พ้นห้องฟังของผมเสีย ที  ตั้งแต่ผมแต่งห้องฟังใหม่ให้โล่งขึ้น อาการเบสบูมมีมารบกวนใจผมตลอด ข้อดีคือ ห้องใหม่ของ ผม ให้รายละเอียดของเสียงดีขึ้น แต่ก็มีปัญหาเบสบูมตามมา

ผมจึงตัดสินใจสั่งซื้อ ASC Tube Trap กับทาง Audio Excellence ไปแล้วครับ โดยสั่งซื้อ รุ่น 16 นิ้ว Full Round แบบ Super ไป 2 แท่ง สีขาว  ของคงจะมาถึงภายในประมาณ 45-60 วัน ข้างหน้านี้ ราคาแท่งละ $589 เจ๊งไป $1,178

ถ้าถามผมว่า ผมแน่ใจไหมว่า Tube Trap จะช่วยแก้ปัญหาให้ผมได้ ผมก็ยังไม่แน่ใจเท่าไร การสั่งซื้อเกิดจากการที่ผมอ่านบทวิจารณ์ และบทความต่างๆเพียงอย่างเดียว และคิดว่ามันน่าจะแก้ ปัญหาให้ผมได้  เอาไว้ซื้อมาแล้ว ได้ผลเป็นยังไง ผมค่อยรายงานความคืบหน้าให้ทราบต่อไป การ เสี่ยงซื้อครั้งนี้ ก็เพื่อเช็คดูผลการทำงานของ Tube Trap หากมันทำงานได้ดีจริง ผมอาจจะซื้อมันมา เพิ่มเติมในอนาคต เพราะผมอยากแก้ปัญหาเรื่องเสียงเบสในห้องผมให้ได้

สารบัญ

 

พักครึ่ง

ในระยะนี้ ผมจัดการ Burn ลำโพง ตั้งแต่ 7.30 – 21.000 ทุกวัน ด้วยการเปิดแผ่น XLO Test & Burn-in CD ในแทร็คที่ 8 วนเวียนซ้ำไปซ้ำมาทั้งวัน หลังจากที่เปิดไปได้สี่วัน สังเกตุได้ว่า เสียงของลำโพงเริ่มเข้าที่แล้ว

แต่ผมคิดว่ากว่ามันจะถึงจุดเต็มที่ของมัน คงต้องใช้เวลาประมาณสองอาทิตย์ขึ้นไป อย่าง ไรก็ตามผมตั้งใจว่าในช่วงอาทิตย์หน้านี้ ผมจะเริ่มต้นเซ็ทอัพมันอย่างจริงจังเสียที หวังว่ามันคงจะ เสร็จสิ้นลงในระยะเวลาอันรวดเร็ว  ในระหว่างนี้ ผมอาจจะต้องลอง Room Tune ของ Michael  Green มาใช้ดูอีกครั้ง เพื่อดูว่า มันใช้ได้ผลดีในห้องที่ออกจะค่อนไปทาง Live เช่นนี้หรือไม่  เพราะ ตอนที่ผมลองมันครั้งก่อน มันไม่ได้มีผลต่อคุณภาพเสียงแต่อย่างไรเลย

สิ่งต่อไป ก็คือ ผลการใช้ ASC Tube Trap ที่จะมาถึงใน 45 วันข้างหน้า และสิ่งต่อไป คือ สาย Nordost Blue Heaven ที่ผมคงจะขอมาลองเป็นสิ่งสุดท้ายในเที่ยวนี้  ดังนั้น ผมจะหยุดพัก รายงานการใช้ ผลการรับฟัง ProAc 3.8 ไว้เป็นการชั่วคราวก่อน หากมีอะไรคืบหน้า จะรีบมาเขียน บอกเล่าให้ฟังโดยไม่ชักช้า

เท่าที่ฟังอยู่ตอนนี้ มันเริ่มส่ง สเน่ห์ ออกมาบ้างแล้ว มันทำให้ผมจมไปกับเสียงไวโอลินของ Heifetz ไปครู่ใหญ่ๆ (ขอขอบคุณ คุณหมอไกรฤกษ์ ที่แนะนำแผ่นดีๆ performance ในระดับสุด ยอดเช่นนี้ให้ผมฟัง ถ้าให้ผมไปซื้อเอง คงเลือกซื้อไม่ถูก เพราะผมมีความรู้เกี่ยวกับดนตรี Classic น้อยมาก) ผมลืมไประยะหนึ่ง ลืมนึกถึงเครื่องเสียง ลืมนึกไปว่าผมกำลังลองฟังลำโพงอยู่ ผมคิดว่า ProAc เป็นลำโพงที่ Musical ที่สุดยี่ห้อหนึ่งในตลาดเครื่องเสียง Hi-end ถ้าคุณดูเฉพาะขนาดของ ตัวตู้ รูปทรง คุณอาจจะไม่เข้าใจว่า ไอ้ลำโพงรูปทรงทื่อๆ ตัวก็ไม่ใหญ่ ตัวนี้ ทำไมถึงมีราคาแพง ฉิบหายเช่นนี้  ผมขอแนะนำให้คุณปิดตาลง แล้วนั่งลงฟังมัน คุณจะเข้าใจได้เอง โดยไม่ต้องมีคำ บรรยายใดๆประกอบ

ปกติผมไม่ค่อยนิยมวางลำโพง Toe-in มากนัก แต่เท่าที่ลองดูคร่าวๆ ผมอาจจะต้อง  Toe-in ลำโพงตัวนี้ค่อนข้างมากก็ได้  ของอย่างนี้ต้องลองกันดู เดี๋ยวรู้กัน เดี๋ยวรู้กัน  อีกเรื่อง หนึ่ง คือเรื่องของเบสบูม ผมพบว่า ถ้าผมยอมลดระดับเสียงลงมาที่ระดับเบาลงหน่อย ปัญหา นี้ก็จะหมดไป  แต่ผมชอบฟังที่ระดับค่อนข้างดังเสียด้วย (ก็ประมาณที่ 85-93 db วัดที่จุดนั่งฟัง)  อย่างไรก็ตามผมพบว่าในบางแผ่นผมไม่พบปัญหาเบสบูม ถึงจะอัดไปอย่างเต็มที่ก็ตาม เช่น แผ่น James Newton Howard & Friend (Sheffield lab Direct cut LP) เป็นต้น

สำหรับการ Matching กับ Solid state power amp อย่าง Mark Levinson นั้น ผมไม่รู้ สึกว่ามันจะมีปัญหาอะไร  ก็ฟังออกมาดูดีทีเดียว เท่าที่ฟังคร่าวๆ ผมคิดว่าเสียงต่างจากการใช้ แอมป์หลอดขับแน่ๆ โดยเฉพาะเสียงร้อง น่าจะแพ้แอมป์ Single-end Triode ขับมันแน่นอน แต่นั่นเป็นเรื่องของรสนิยม ที่ไม่มีมาตรฐานใดๆจะไปตัดสินได้ สำหรับตัวผมเอง ผมคิดว่าผม ชอบมันนะ ผมคงไม่ต้องเดือดร้อนดิ้นรนซื้อแอมป์หลอดมาขับมันในระยะเวลาเร็วๆนี้หรอก

สำหรับเที่ยวนี้ คงมีแค่นี้แหละ  แล้วจะมาเล่าให้ฟังอีกวันหลัง แต่นานหน่อยนะครับ ถือ เป็นการพักครึ่งเวลา ไว้ว่ากันต่อครึ่งหลังประมาณเดือนหน้า

 

 

บทวิจารณ์ของสเตอริโอไฟล์

มีใครที่ไหนเขียนีวิวลำโพงหนึ่งปียังเขียนไม่จบบ้างไหมเนี่ย ที่นี่มีอยู่คนหนึ่ง ฮ่าๆ ช่วยไม่ได้ยังมีคิวต่ออีกเพียบ แต่ก็ยังไม่ได้เขียน เช่น ASC Tube trap, Audio Research PH3 , Benz-Micro Glider , Vibrapod เป็นต้น สาเหตุเนื่องจากยุ่งๆผสมขี้เกียจนั่นแหละครับ

พอดี Stereophile ฉบับมกราคม 2543 นี้ Larry Greenhill ได้ทำการทดสอบลำโพง ProAc 3.8 พอดี ผมคิดว่าแปลมาให้คุณๆฟังกันก็น่าจะดี มาลองฟังความเห็นของฝรั่งกันบ้าง ผมจะไม่แปลชนิดคำต่อคำ แต่จะสรุปเนื้อความและประเด็นหลักๆเท่านั้นนะครับ

Larry บอกว่า เขาสงสัยมานานแล้วว่าทำไมนักวิจารณ์คนอื่นๆจึงชื่นชม ProAc กันนักหนา ไม่ว่าจะเป็น Jack English, Michael Fremer, Corey Greenberg (เพิ่งตกงานจากตำหน่ง บก. ของนิตยสาร Audio มาหมาดๆ เพราะหนังสือเจ๊ง) และ Wes Philips ล้วนแล้วแต่เขียนชื่นชม ProAc รุ่นต่างๆที่พวกเขาได้ฟัง ดูเหมือนทุกคนจะตกหลุมมนต์สเน่ห์ของ ProAc ทั้งสิ้น

ด้วยราคา $7,200 มันเป็นลำโพงที่มีราคาสูง คุณสามารถหาซื้อลำโพงดีๆในราคาที่ถูกกว่านี้ตั้งครึ่ง ในปีก่อน “ผม” (ต่อไปจะหมายถึง Larry) รีวิวลำโพงไป 5 คู่ มีแค่สองคู่เท่านั้นที่ราคาเท่ากันหรือแพงกว่า อะไรทำให้ ProAc โดดเด่นเป็นพิเศษ

สิ่งที่ผมประทับใจมากที่สุด คือ คว้ามกว้างของเสียงชนิดเหลือเชื่อ และ ความเปิดโล่งของเสียง ลำโพงชั้นยอดอื่นๆก็สามารถให้ soundstage ที่กว้างและลึกได้ แต่ ProAc ทำเรื่องเหล่านี้ได้อย่างง่ายดายมาก ทั้งในระดับเสียงที่ดังและเบา อีกสิ่งหนึ่งที่สำคัญในการฟังเพลงคือ ถ้าหากลำโพงสามารถดึงผมเข้าหาเสียงดนตรีได้ – อย่างที่ ProAc 3.8 ทำได้ตลอดเวลา – ผมรู้ทันทีว่าลำโพงคู่นั้นทำงานได้อย่างวิเศษแน่นอน

เมื่อฟังเพลงจากแผ่น John Rutter’s Requiem (RR-57CD) ProAc ให้เสียงร้องแต่ละเสียงได้ละเอียดชัดเจนสมจริง ผมสามารถติดตามเสียงแต่ละเสียงได้อย่างง่ายดาย และผมยังเข้าใจคำทุกคำได้ง่ายกว่า ชัดเจนกว่าที่เคยได้ยินจากลำโพงคู่อื่นยกเว้น Revel Salon

อีกแผ่นหนึ่งที่แสดงถึงความกว้างของเวทีเสียงของ 3.8 คือ Love Scenes ของ Diana Krall (IMPD-233) แผ่นนี้ให้เสียงอคูสติคที่แจ่มแจ้ง ถึงแทร็ค Garden in the rain จะมีขนาดความกว้างลึกของ soundstage สู้แผ่น Requiem ไม่ได้ แต่มันให้เสียงที่แสดงถึงอาการเปิดโล่งของเสียง และ ความกว้างของเวทีเสียงได้ดี โดยเฉพาะกับแผ่นที่บันทึกในสตูดิโอเช่นนี้ 3.8ให้เสียงที่สะอาด เสียงกลางที่เป็นธรรมชาติ ให้ไดนามิคที่ดี และเสียงสูงที่ไม่เคยเรียกความสนใจไปที่ตัวมันเอง

สำหรับ Frequency balance ของ 3.8 นั้น ปราศจากความผิดเพี้ยนและสีสันอย่างสิ้นเชิง Timbre ของ 3.8 นั้นเต็มอิ่มและเป็นธรรมชาติ ความบริสุทธิ์ของเสียงกลางนั้น ทำให้ผมสามารถได้ยินเสียงร้องอยู่เสมอ แม้กระทั่งในตอนที่มีเสียงดนตรีโหมขึ้นมาประกอบ เสียงกลางและเสียงแหลมของ 3.8 นั้นโปร่งใสและชัดเจน

และถึงแม้เสียงกลางของ 3.8 จะสะอาด แต่มันก็สามารถให้เสียงเบสที่โดดเด่นได้เช่นกัน Michael Fremer เคยเขียนถึง 2.5 ว่า “ยกเว้นแต่เสียงเบสลึกๆเท่านั้นที่ให้ไม่ได้ นอกจากนั้นแล้ว 2.5 สามารถให้เสียงเบสที่เพียงพอสำหรับทุกคน” เอ้อ… Michael สิ่งเหล่านี้มันดีขึ้นแล้วละ เสียงของ pipe-organ สามารถเขย่าห้องฟังของผมเลยล่ะ

เสียงเบสของ 3.8 นั้น มีกำลัง มีน้ำหนัก และควบคุมได้ดี เสียง pipe organ จากแผ่น Dream of Gerontius สามารถได้ยินอย่างชัดเจนเท่าๆกับที่ผมเคยได้ยินผ่าน Revel Salon ($15,000) ทีเดียว นั่นหมายถึง 3.8 ให้เสียงเบสในระดับดีเยี่ยมที่สุด เท่าที่ผมเคยได้ฟังเปรียบเทียบจากลำโพงทุกคู่ในห้องฟังของผม

ด้วยคุณภาพเสียงเบสเช่นนี้ 3.8 จึงให้ความรู้สึกของจังหวะของเพลงป้อปได้เป็นอย่างดีด้วย เสียงของ Bass-drum นั้น หนักแน่น กระชับ และมีแรงปะทะจนทำให้สะดุ้งได้ (เกือบๆจะน่ากลัวด้วยซ้ำ) ถึงผมจะรู้ว่ากลองกำลังจะถูกตีก็เถอะ

อย่างไรก็ตาม 3.8 ยังไม่สามารถให้เสียงที่ปราศจากอาการอั้น โดยสิ้นเชิงได้เหมือน Revel Salon ผมรู้สึกถึงอาการนี้ เมื่อผมใช้ Electrocompaniet Nemo monoblock ขับ 3.8 ในห้องฟังห้องใหญ่ของผม ผมพบว่า ProAc 3.8 ต้องการความพิถีพิถันในการเลือกเครื่องอื่นๆมาประกอบใน system ลำโพงรุ่นนี้แสดงประสิทธิภาพได้เต็มที่เมื่อต่อแบบ Bi-wired เท่านั้น ผมขับมันด้วย Mark Levinson No.334 เป็นหลัก แอมป์อื่นๆที่ใช้ มี Bryston 7B-STs , Electrocompaniet Nemo monoblock , Mark Levinson No.331.5 (เป็นรุ่นที่นำ 331 ไปอัพเกรด – พจน์) สามารถให้เสียงดนตรีที่ดีเยี่ยม และสะอาด แต่ออกจะนุ่มนวลเกินไปนิด แต่ด้วยคู่ของ ProAc 3.8 / Mark Levinson No.334 ให้เสียงที่มีพลังอย่างวิเศษ , น่าตื่นตาตื่นใจ , ไดนามิคเยี่ยม โดยไม่มีอาการของเสียงขึ้นขอบ หรือ เสียงไม่เป็นธรรมชาติ พร้อมเสียงเบสที่ทั้งมีรายละเอียดและควบคุมได้อย่างดี

สรุป

ผมยินดีที่จะรายงานว่า ผมรู้แล้วว่าเรื่องที่เขาพูดๆกันนั้นคืออะไร ProAc 3.8 พิสูจน์ตัวมันเองว่ามันมีความพิเศษในตัวมันเองอย่างที่ผมหวังไว้ ผมรู้แล้วว่า ทำไมเพื่อนๆนักวิจารณ์ – รวมทั้งผม – ถึงได้ตกอยู่ใต้มนต์สะกดของ ProAc จุดแข็งหลายจุดของ ProAc ทำขึ้นมาเพื่อให้ผมได้รับประสบการณ์ในการทดสอบเครื่องเสียงที่พิเศษเป็นอย่างยิ่ง เมื่อขับด้วย Mark Levinson No.334 ProAc 3.8 ให้เสียงที่เต็มอิ่มอย่างเหลือเกิน พร้อมความรู้สึกที่นุ่มหวาน ซึ่ง Michael เคยได้ยินจาก ProAc 2.5 หากคุณพยามยามจะมองหาลำโพงคู่อื่น ซึ่งสามารถให้เสียงกลางที่สะอาดและเป็นธรรมชาติ พร้อมเสียงแหลมที่เปิดโล่งและเป็นกลาง พร้อมความสามารถที่จะแยกแยะเสียงร้องหมู่ที่ซับซ้อนได้อย่างที่ ProAc 3.8 ทำได้ คุณคงต้องพบความยากลำบากและใช้เวลาในการเสาะหาที่ยาวนานแน่ๆ

ผมขอแนะนำ ProAc 3.8 เป็นอย่างยิ่ง และด้วยความศรัทธาอย่างแรงกล้าต่อผลงานของ Stewart Tyler ในระดับเดียวกันกับที่เหล่าเพื่อนฝูงนักวิจารณ์มีต่อเขามาตลอดทศวรรษที่ผ่านมา ผมขอเสนอให้จัด ProAc Response 3.8 ไว้ใน Class A ใน Recommended Components ของ Stereophile ลำโพงอื่นอาจจะเล่นได้ดังกว่า แต่เมื่อขับ 3.8 ด้วย Mark levinson No.334 มันจะเผยให้เห็นความสวยงามของ เสียงร้องประสาน วงดนตรีกลุ่มขนาดเล็ก และเสียง soundtrack ของภาพยนต์ ผมกำลังถูกทำให้หลงมนต์สเน่ห์อยู่หรือเปล่า? ไปฟัง ProAc Response 3.8 แล้วบอกให้ผมรู้ผลด้วยครับ

พจน์ – ฟังไปแล้วร่วมปีครับ และก็ตกอยู่ใต้มนต์เสน่ห์ของ ProAc 3.8 ไปเรียบร้อยเช่นกัน นี่เป็นบทวิจารณ์ที่ผมเห็นด้วยอย่างยิ่ง โดยเฉพาะในเรื่องเสียงกลาง เสียงแหลม soundstage ความเปิดโล่งของเสียง ความใสของเสียง ความเป็นลำโพงที่ musical ที่สุดยี่ห้อหนึ่งในท้องตลาด และที่สำคัญที่สุด “มนต์สเน่ห์เสียงแห่ง ProAc” ผมไม่มีโอกาสได้ลองขับมันด้วย Mark 334 แต่เท่าที่ฟังด้วย No.331 ผมก็มีความสุขมากอยู่แล้ว ผมเห็นด้วยว่ามันยังให้พลังของเสียงในระดับที่ลำโพงขนาดเบ้อเฮิ่มให้ไม่ได้ แต่นั่นแหละ ผมไม่มีห้อง และ system ที่จะไปใช้กับลำโพงในระดับนั้นด้วยเช่นกัน ProAc 3.8 นี่ละลงตัวแล้ว และผมขอยืนยันว่า ผมคงจะเจอความยากลำบากจริงๆในการหาลำโพงคู่ใหม่ ที่ผมจะชอบหรือคิดว่าดีกว่า ProAc 3.8 คู่นี้ (ความเห็นส่วนตัว โปรดใช้วิจารณาญานในการอ่าน) มันจะเป็นลำโพงที่ผมจะใช้ไปในอีกหลายปีข้างหน้า ด้วยความสุขเป็นอย่างยิ่งครับ อ้อ… ถ้าจะมีอะไรสักอย่างที่เห็นค้านกับรีวิวของ Larry ก็คงมีประเด็นเดียวคือ ผมคิดว่าเสียงของ ProAc นั้น มัน color นิ๊ด….ๆ….ครับ แต่ผมชอบของผมอย่างนั้นล่ะ ผมไม่สนหรอกครับว่าใครจะว่ายังไง ฮ่าๆ….

ผมจะเขียนรีวิวส่วนสุดท้ายของ ProAc เมื่อผมรีวิว ASC Tubetrap, Audio Research PH3 และ Benz-Micro Glider เสร็จเรียบร้อยครับ

 

 

ในที่สุดก็ใส่ spike

ในที่สุดผมก็หาตำแหน่งสุดท้ายให้แก่ Response 3.8 จนได้ อย่าแปลกใจเลยครับ ที่มันนานขนาดนี้ เหตุผลก็มีหลายประการเช่น ผมลองวางมันไปหลายๆที่ ผมลองใช้โปรแกรมคำณวนดู ผมลองไปอ่านหนังสือแล้วมาทดลองทำตาม

แต่จริงๆแล้ว ที่มันนานก็เพราะนิสัยเฉื่อยแฉะ ชอบเฉไฉไปฟังเพลงอยู่เรื่อย โธ่… วันๆก็ทำงานเหนื่อยแล้วครับ ใครจะอยากกลับเข้าห้องฟังมานั่งซีเรียสกันทุกวันได้ คิดดู, คุณต้องเปิดเพลงฟัง 3-4 เพลง ฟังเสร็จก็ต้องจำไว้ ลองไปเลื่อนลำโพงดู กลับมาฟังใหม่ เอ๊ะ.. ไม่แน่ใจแฮะ เลื่อนกลับไปที่เดิม ลองฟังใหม่ เลื่อนไปตำแหน่งใหม่อีกที ลองฟังใหม่ ฮูเร…สรุปได้แล้วว่า ตรงไหนดีกว่ากัน แต่….ยัง, ยังไม่เสร็จ ต้องหาตำแหน่งใหม่มาเปรียบเทียบอีก เพราะกลัวจะไม่ได้ตำแหน่งที่ดีที่สุด ว่าแล้วก็เริ่มพิธีกรรมกันอีกรอบ เฮ้อ…..

คุณคงจำกันได้ว่า ห้องผมนั้นมีปัญหาเรื่องเบสบูมที่ความถี่ประมาณ 60 Hz และมันเป็นสิ่งที่ผมพบว่า ผมไม่มีปัญญาจะทำยังไงกับมันได้แล้ว ผมไม่สามารถทำให้มันหายไปได้สิ้นเชิง เพียงแต่ทำให้มันมีอาการดังกล่าวให้น้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ และถ้าไม่อยากได้ยินจริงๆ ก็ต้องใช้วิธีเปิดให้เบาลง (ผมมักจะเปิดดังเสมอ และอาการเบสบูมนั้น จะเกิดกับแผ่นบางแผ่นเท่านั้น ไม่ใช่ทุกๆแผ่น)

ทาง Deco เคยลองเอาข้อมูของห้องผม และ ลำโพง 3.8 ไปคำณวนเพื่อหาจุดที่ดีที่สุด ในการวางลำโพง เพื่อแก้ปัญหาเบสบูม ผมจึงได้ทดลองวางดูตามที่โปรแกรมคำณวนออกมา

ผลที่ได้ มันให้เสียงเบสที่ดีขึ้น แต่…. กลับมีข้อเสียทางด้าน image และ soundstage มากไปครับ ตำแหน่งที่โปรแกรมบอกนั้น ทำให้ผมต้องวางลำโพงห่างกันมาก จึงทำให้มีเนื้อที่ตรงกลางมาก และมีพื้นที่ด้านข้างน้อย ภาพของวงด้านนอกลำโพง ในหลายๆแผ่นจึงได้รับผลกระทบอย่างเลี่ยงไม่พ้น ไม่ว่าจะเป็น แผ่น Secret Island หรือ Duke Ellington/ Jazz party เป็นต้น ผมพบว่าชิ้นดนตรี ที่เคยลอยออกมาพ้นขอบลำโพงนั้น กลับไม่สามารถหลุดลอยออกมาได้เท่าเดิม ชิ้นดนตรีที่อยู่ด้านนอกทั้งซ้ายและขวา ต้องเบียดกันมากขึ้นจึงทำให้ภาพของวง ไม่มีความสมดุลกัน

มันจึงดูเหมือนว่าเป็นเรื่องได้อย่างเสียอย่าง แต่ถ้าให้เลือกระหว่างจุดเก่า กับ จุดใหม่ที่ RPG แนะนำ ผมคงเลือกจุดเดิมดีกว่า เพราะผมรับรูปวงแบบนั้นไม่ได้ ถึงแม้ผมจะลอง Toe-in ลำโพงชนิดยิงตรงมาที่ตำแหน่งนั่งฟังแล้วก็ตาม ผมก็ยังพบอาการดังกล่าวอยู่ดี ถึงจะดีขึ้นกว่าไม่ toe-in แต่ก็ยังดีสู้ตำแหน่งเก่าไม่ได้

นี่คงไม่ใช่ข้อเสียของ โปรแกรมโดยตรง เพราะมันก็ทำหน้าที่ของมันแล้วคือ หาจุดที่มีปัญหาเบสบูมน้อยที่สุดมาให้ผม มันไม่ได้มีหน้าที่ต้องหาจุดที่มี Stereo image ดีที่สุดมาให้ผมสักหน่อย มันเป็นเรื่องของผมเองว่า จะเอาอะไร และยอมเสียอะไรไป

ในห้องอื่น มันอาจจะให้ผลได้ดีในทุกด้านก็ได้ เพราะห้องผมนั้น สงสัยจะเป็นห้องปราบเซียนแฮะ… เพราะจุดที่ RPG แนะนำนั้น ก็แค่ช่วยลดลงให้น้อยลงเท่านั้น ไม่ได้ช่วยแก้ได้โดยสมบูรณ์แบบจริงๆ มันก็เพียงแต่บูมน้อยลงกว่าเก่าเท่านั้น แต่ยังบูมอยู่ดี

บางทีผมอาจจะต้องการระบบ RCS ของ Tact บางทีผมอาจจะต้องการปรีของ Z-system มาใช้ บางทีผมอาจจะต้องการ Digital Equalizer มาใช้ หรือบางทีผมอาจจะต้องไปใช้ลำโพงที่ปรับแต่งจุดตัด ปรับแต่ง Bass module ได้ อย่าง Genesis หรือ Vandersteen รุ่นท้อป ผมไม่ทราบครับ ไม่เคยมีโอกาสได้ลอง อีกอย่างมันแพงๆทั้งนั้นด้วย

มีเรื่องแทรกเกี่ยวกับ ASC Tube Trap ครับ คือในขณะที่ผมลองวางตามแบบของ RPG อยู่นั้น ผมได้ toe-in มันเต็มที่จนท่อเปิดของลำโพงยิงตรงเข้าไปที่มุมห้อง ซึ่งผมได้วาง ASC Tube Trap เอาไว้ ด้วยความอยากรู้ ผมจึงเอา Tube Trap ออกจากมุมนั้น เพื่อดูผลเปลี่ยนแปลง ผลปรากฎว่า ASC Tube Trap work จริงๆครับ มันช่วยให้เบสดีขึ้นกว่าไม่มี Tube trap อย่างเห็นได้ชัด แต่มันก็แก้ปัญหาเบสบูมในห้องผมไม่ได้อย่างสมบูรณ์แบบ รายละเอียดเอาไว้ว่ากันในบทวิจารณ์ ASC Tube Trap กันอีกที

ในที่สุด จุดที่ผมวางลำโพงนั้น จะห่างจากผนังหลัง 193 cm. ห่างจากผนังข้าง 114 cm.(วัดจากจุดศูนย์กลางของ Bass Driver) นี่คือจุดที่ผมคิดว่า ลงตัวในทุกด้าน มีปัญหาน้อยที่สุด เป็นจุดที่ประณีประนอมที่สุด เท่าที่หาได้ในห้องฟังของผม ผมจึงตัดสินใจใส่ spike เข้าไปที่ฐานลำโพง ผลจากการใส่ spike ช่วยให้เสียงดีขึ้นโดยเฉพาะเบสที่ดีขึ้นอีกนิดหน่อย

เที่ยวนี้คงมีเรื่องเล่าให้ฟังแค่นี้ เที่ยวหน้าสัญญาว่าจะเขียนบทสรุปของ ProAc 3.8 เสียทีครับ

 

สรุป

ในที่สุดก็ถึงบทสรุป น่าเสียดายนิดหน่อยว่า กว่าผมจะเขียนถึง ProAc 3.8 เสร็จ website ก็ปิดไปเสียก่อน แต่นั่นคงไม่ใช่ประเด็นสำคัญนัก ผมอยากเขียนความรู้สึกของตัวเองไว้เตือนความจำในอนาคตข้างหน้า ถึงความคิด ความรู้สึกของผมในวันนี้มากกว่า

OK! สรุปว่าไง.. ผมอยากสรุปจุดด้อยของ 3.8 ตามความเห็นของผมดังต่อไปนี้ครับ

1. ProAc 3.8 ไม่ใช่ลำโพงสำหรับดนตรีแบบ Full Scale Orchestra

*** ค้างไว้เท่านี้ครับ ยังไม่ได้เขียนต่อจนจบ******

 

 

Specification

Nominal Impedance: 8 ohms
Recommended Amplifiers: 50 to 250 watts
Frequency Response: 20hz to 30Khz
Sensitivity: 88db linear for 1 watt at 1 metre
Bass/Midrange Drivers(2 per cabinet) ProAc seven inch carbon fibre cone withexceptionally linear motor system. Cast chassisand breather.
Tweeter: ProAc one inch soft dome unit, with exclusiveair-cooled coil. Special frontplate with copperring assembly.
Crossover: Super high grade fibreglass base with high purityheavy grade tracking. Super power coils, silveredcapacitors and high wattage ceramic resistors.

Multistrand oxygen-free copper cable throughout.

Split for optional bi-wiring and bi-amping.

Dimensions: 49″ (1244mm) high on plinths with spikes x9″(235mm) wide x 13″ (343mm) deep
Weight: 85 lbs (38kg)/cabinet
Mode: Floorstanding on dedicated plinths
Grille: Acoustically transparent crimplene
Finish: Available in the following real woodveneers: Black Ash, Walnut, Natural Oak,Mahogany, Cherry, Rosewood, Yew,

Ebony, Bird’s Eye Maple, Burr Oak.

All contents copyright © 1997,1998, 1999 and 2000 by Poj Udomlapsakul

and may not be copied or reproduced without permission