Zentis NZR-64 (Turin DF-64)


Zentis NZR-64
(upgrade เป็น เฟือง SSP Red Speed Espresso High Uniformity)
15,900 บาท
สรุป – แนะนำ เป็นเครื่องบดกาแฟ ที่มีความคุ้มค่าอย่างยิ่ง ที่สุดตัวหนึ่งในท้องตลาด แต่คุณจะต้องพร้อม modify Declumper และ ต้องซื้อ Grind indicator มาใช้งานประกอบ หากคุณไม่ต้องการ modify ใดๆเลย ไม่แนะนำครับ และข้อจำกัดอีกประการหนึ่ง ที่ผมขัดใจคือ มันยังปรับเบอร์บด ได้ไม่ละเอียดพอ เท่าที่ผมต้องการครับ

เครื่องบดเม็ดกาแฟ มีความสำคัญมากกว่าที่ผมคิดไว้ในทีแรกครับ ตอนแรกๆ ผมคิดว่า ผมอยากประหยัดงบ ด้วยการใช้ เครื่องบดเม็ดกาแฟ แบบใช้มือหมุน แต่ในที่สุด ผมก็พบว่า นั่นเป็นความคิดที่ผิดอย่างยิ่ง เพราะ Flair 58 ต้องการ การบดเม็ดกาแฟ ที่ละเอียดมากเพียงพอ ซึ่งเครื่องบดมือ ไม่สามารถจะบดได้ละเอียดเพียงพอ หรือ หากละเอียดเพียงพอ ก็จะเหนื่อยเกินไป ซึ่งกว่าจะหมุนบดได้สำเร็จตามที่ต้องการ อาจจะเกิดอาการบาดเจ็บกล้ามเนื้อได้ หากต้องบดกันอยู่ ทุกๆวัน วันละครั้ง (ยิ่งวันละหลายๆครั้ง จะยิ่งแย่มากขึ้นอีก)

อีกทั้ง คุณภาพของเครื่องบด จะมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อ รสชาติ ของกาแฟที่ได้ การเตรียมงบลงทุน สำหรับเครื่องบดเม็ดกาแฟ จึงต้องใส่ใจ และ ให้ความสำคัญให้พอๆกับเครื่องชง หรือ แม้แต่ จะต้องมากกว่าเครื่องชงด้วยซ้ำไปครับ หากคุณต้องการ Espresso ที่มีคุณภาพดี อย่าประหยัดงบไปซื้อเครื่องบด ที่มีคุณภาพต่ำ มาใช้งานโดยเด็ดขาดครับ

เครื่องบดไฟฟ้า จึงเป็นทางเลือกเดียวสำหรับ Flair 58 แต่… เครื่องบดไฟฟ้า ก็มีให้เลือกหลายแบบ หลายยี่ห้อ ครับ

หลังจากที่ผมค้นข้อมูล และ ดูรีวิว ไปเรื่อยๆ.. ผมก็พบว่า เครื่องบดที่เหมาะสมกับผม คือ เครื่องบด แบบ Single Dose ซึ่งจะเป็นเครื่องบด ที่จะใส่เม็ดกาแฟลงในเครื่อง ในปริมาณที่ไม่มาก บดให้เสร็จทั้งหมด ไปเป็นครั้งๆ และ เป็น Zero Detention ซึ่งหมายถึงว่า จะมีผงกาแฟ ค้างอยู่ในเครื่องค่อนข้างน้อยมาก เครื่องแบบ Single Dose นี้ เหมาะสำหรับ คนที่ชงกาแฟทานเองที่บ้าน แต่จะไม่เหมาะกับ การใช้งานในร้านกาแฟ ซึ่งต้องมีการชงกาแฟ ติดต่อกัน อย่างต่อเนื่องครับ

ข้อดีของเครื่องบดแบบ Single Dose นี้ คือ เราสามารถกำหนด Dose ได้อย่างคงที่ ด้วยการชั่งน้ำหนัก เม็ดกาแฟ ทุกๆครั้งก่อนที่จะบด เช่น หากเรากำหนดว่า 18g เราก็จะบดเม็ดกาแฟ ทั้ง 18 g ให้เสร็จสิ้นในครั้งเดียว และ ในเครื่อง Single Dose แบบ Zero Detention นั้น จะเหลือผงกาแฟ ตกค้างอยู่ในเครื่องน้อยมากครับ นั่นหมายถึง ใส่เม็ดกาแฟเข้าไป 18 g ก็จะได้ผงกาแฟ ออกมา 18 g

สำหรับเครื่องบดอีกประเภทคือ เครื่องที่มีโถใส่เม็ดกาแฟ จำนวนมากๆ ไว้ด้านบนนั้น จะเหมาะสำหรับ ร้านกาแฟ ที่มีลูกค้าเข้ามาอย่างต่อเนื่อง หรือ ต้องชงกาแฟ อย่างต่อเนื่อง แต่การบดนั้น เครื่องจะใช้การกำหนดเวลา ในการบด อย่างคงที่ ปัญหาคือ การกำหนดเวลาคงที่นั้น จะทำให้เกิดความคลาดเคลื่อนใน Dose ที่ได้ น้ำหนักของผงกาแฟที่ได้ จะไม่คงที่ เพราะจะขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายๆอย่าง เช่น ความใหม่ของเม็ดกาแฟ เป็นต้น ซึ่งคงไม่เหมาะสำหรับผม ที่ต้องการ ควบคุมปัจจัยด้าน Dose ให้คงที่ ถูกต้องมากกว่า เรื่องการบดอย่างต่อเนื่อง หรือ ความสะดวกครับ

ข้อเสียอีกประการของเครื่องแบบมีโถ คือ จะมีผงกาแฟ ค้างในเครื่องเยอะครับ ดังนั้น หากว่า จะมีการเปลี่ยน ชนิดของเมล็ดกาแฟขึ้นมา ก็จะต้องมีการบดทิ้งออกไป จำนวนมาก เพื่อไม่ให้มีผงกาแฟ เก่า ค้างอยู่ในเครื่องอีก ดังนั้น หากใครชอบเปลี่ยนชนิดเมล็ดกาแฟบ่อยๆ เพื่อเปรียบเทียบ หรือ เปลี่ยนตามอารมณ์ ต้องเลือกแบบ single dose แทนครับ

(ปัจจุบัน มีเครื่องแบบมีโถ ที่ ใช้วิธีชั่งน้ำหนักได้ในตัว แทน การใช้นาฬิกา จับเวลาแล้วนะครับ แต่ราคาก็สูงเกินไป เหมาะสำหรับ ร้านกาแฟ มากกว่าครับ สำหรับ user ทั่วๆไป ที่ชงวันละ 1-3 แก้ว ผมคิดว่า Single Dose ยังคงเป็นทางเลือกที่ดีกว่า เพราะมันก็ยังมีปัญหาเรื่อผงกาแฟ ค้างในเครื่องอยู่เป็นจำนวนมากเหมือนเดิม)

ตัวเลือกอื่นๆของ Single Dose Coffee Grinder

** update 27/5/2566 ปัจจุบันนี้ มีเครื่องบด ยี่ห้ออื่นๆ และ รุ่นอื่นๆ มาให้เลือกเพิ่มขึ้นอย่างมากมาย จนรายการที่เขียนไว้ด้านล่างนี้ ไม่มีความเหมาะสมอีกต่อไปแล้วครับ ให้ลองค้นหาดูนะครับ ว่ามีอะไรน่าสนใจมาก ผมเองจะไม่ได้เขียนไว้ เนื่องจาก ยังไม่ได้คิดจะซื้อใหม่ ผมจึงไม่ได้ค้นคว้าข้อมูลเพิ่มเติม แค่เคยเห็นผ่านๆตาเท่านั้น ว่า มีตัวเลือกทีน่าสนใจมากมายครับ

ในบรรดา เครื่องบดเม็ดกาแฟ แบบ Single Dose นี้ ในวงการ จะมีเครื่องดังๆหลายเครื่องเช่น

Niche Zero
ตัวนี้ น่าจะเป็นเครื่องที่เริ่มต้นสร้างกระแส Single Dose/ Zero Detention ให้เป็นที่นิยมขึ้นมา มีเสียงชมอยู่มากมาย แต่ผมไม่เลือกซื้อตัวนี้ ก็เพราะว่า… มันมักจะอยู่ในสภาพขาดสต้อคอยู่ตลอดเวลา และ ไม่มีตัวแทนในไทย หากว่าเสีย ก็คงหาที่ซ่อมได้ยาก มอเตอร์มีขนาดเล็ก ฟันเฟืองข้างในเป็นพลาสติก แถมราคา ที่ขายกันในไทย ก็ขายกันในราคาสูงเกินไป ถึงเกือบสี่หมื่นบาท ตามกระแสความต้องการของตลาด ซึ่งจริงๆแล้ว หากขายกันที่เกือบสี่หมื่นบาท ผมคิดว่า ไปสั่งซื้อจาก Website ผู้ผลิตโดยตรงก็ได้ครับ เพราะราคาสุดท้ายรวมค่าขนส่ง รวมภาษีแล้ว น่าจะอยู่ที่ประมาณ สามหมื่นต้นๆ ไม่เกิน สามหมื่นห้าครับ

เพราะที่ website ของ Niche ขายอยู่ที่ราคาประมาณ 2 หมื่นบาท ซึ่งต่อให้ต้องจ่ายค่าขนส่ง ภาษีนำเข้า และ Vat ผมก็ยังคงคิดว่า น่าจะต่ำกว่า ราคาที่ขายกันอยู่ในเมืองไทย ตอนนี้ครับ Niche Zero เอง ในอนาคต อาจจะเจอปัญหาใหญ่ เนื่องจาก การบริหารงานที่ทำให้ของขาดสต้อคอยู่ตลอดเวลา ทำให้เสียโอกาสในการขายไปเยอะ (และเกิดการปั่นราคาของขึ้นมาในบางส่วนของโลก) และหากวันใด ที่ คู่แข่ง สามารถทำเครื่องที่มีคุณสมบัติเท่ากัน ในราคาที่ตำ่กว่า และ มีของในสต้อคอยู่ตลอดเวลา… วันนั้นจะเป็นวันที่ Niche Zero จะเจอปัญหาใหญ่แน่ๆ ครับ

updated 27/5/2566
ปัจจุบัน.. ผมคิดว่า Niche Zero ในราคา 3-4 หมื่นบาท ไม่น่าสนใจอีกต่อไปแล้วครับ มีเครื่องบดที่มีคุณสมบัติดีกว่า มีฟังชันก์มากกว่า ราคาประหยัดกว่า ถูกกว่า มาให้เลือกอย่างมากมาย ผมคิดว่า Niche Zero กำลังตกที่นั่งลำบากแล้วครับ ไม่แนะนำ Niche Zero อีกต่อไปครับ

Eureka Single Dose
ตัวนี้ละครับ.. ที่อาจสร้างปัญหาใหญ่ให้กับ Niche Zero ได้ ราคาประมาณ 23,000 – 24,000 (ราคาในไทย) ถูกกว่า Niche Zero ที่ราคา สามหมื่นแก่ๆ (ราคาในไทย) Eureka มีตัวแทนในไทย เป็นเรื่องเป็นราว Eureka เป็นบริษัทเก่าแก่ ที่อยู่มานาน และ การบริหารงานน่าจะดีกว่า Niche ที่เป็นบริษัทเล็กๆหน้าใหม่ ในแง่เงินทุน การบริหารจัดการ Eureka น่าจะได้เปรียบ Niche เยอะครับ และ เห็นได้อย่างชัดเจนว่า Eureka ตั้งใจทำรุ่น Single Dose ขึ้นมา เพื่อชนกับ Niche Zero อย่างตรงๆเลยครับ

ตอนนี้… เหลืออยู่อย่างเดียวคือ รอการวางตลาดของ Eureka Single Dose เท่านั้นครับ แล้วรอดู การรีวิวเครื่อง และ ความเห็นของผู้ใช้ว่า… นี่คือ Niche Zero Killer ตัวจริงหรือไม่ ? หาก Eureka Single Dose ทำมาได้ ดีกว่า หรือ ดีเท่ากัน ขายในราคาที่ถูกกว่า และ มีของให้ซื้อตลอด ไม่ขาดสต้อค… ผมว่า Niche Zero จบเห่ แน่นอนครับ

อย่างไรก็ตาม อย่าเพิ่งมั่นใจนะครับว่า Eurega Single Dose จะทำงานได้ดีจริงๆ เพราะผมก็อ่านความเห็นของผู้ใช้หลายๆราย ก็ไม่ได้ความเชื่อถือต่อ เจ้า Single Dose ตัวนี้นัก บางคนถึงกับบอกว่า มันจะไม่ดี และ เป็นเพียงแค่การเอาเครื่องรุ่นที่มีอยู่แล้วบางรุ่น มาดัดแปลงนิดๆหน่อยๆเท่านั้น จึงแนะนำว่า ให้รอดูรีวิว ของนักรีวิว (ที่เชื่อถือได้ ไม่ใช่พวกนักรับจ้างโฆษณาสินค้า) ว่าความเห็นจะเป็นอย่างไร จะมีข้อดี ข้อเสีย จุดเด่น จุดด้อย อย่างไร แล้วค่อยตัดสินใจอีกครั้งครับ

เพิ่มเติม….
ตอนนี้ เร่ิมมีความเห็นต่อ Eureka Single Dose เข้ามาแล้วครับ และ เป็นความเห็นที่ ไม่ค่อยดีเท่าไรต่อ Eureka Single Dose ครับ มีปัญหาหลายๆประเด็นทีเดียว หากท่านต้องการอ่านความเห็นดังกล่าว สามารถอ่านได้ที่ link นี้ครับ หรือ คลิปรีวิวต่างๆใน youtube
https://www.home-barista.com/grinders/new-eureka-mignon-single-dose-t73447-140.html#p818667

Filter Ode
เครื่องบดรุ่นนี้ สวยมากนะครับ แต่ว่า… Ode เหมาะกับ filter มากกว่าครับ ผมทานแต่ Espresso Ode จึงไม่เหมาะกับผมแต่อย่างใด ส่วนในประเด็นที่ว่า Ode สามารถเปลี่ยนเฟืองเพื่อให้บดเมล็ดสำหรับ Espressoได้ แต่ James ได้ติงไว้ว่า มอเตอร์ของ Ode นั้น จะสามารถรองรับการบด Espresso ด้วยเฟืองอื่นได้หรือไม่ ในระยะยาว จะเป็นอย่างไร ยังไม่มีใครแน่ใจได้ ดังนั้น การใช้ Ode มาบด Espresso จึงต้องพิจารณาด้วยตัวเองครับ

Eureka Crono
เครื่องบดรุ่นนี้ ราคาไม่สูง และ สามารถบดเมล็ดสำหรับ Espresso ได้ครับ อย่างไรก็ตาม มีประเด็นที่ว่า หากจะนำไปบดเมล็ดคั่วอ่อน ประสิทธิภาพจะสามารถรองรับได้ในระยะยาวหรือไม่ ? ส่วน คั่วกลาง กับ คั่วเข้ม นั้น ไม่มีปัญหา อีกทั้ง Crono ยังสามารถดัดแปลงให้มาใช้งานในแบบ Single Dose ได้อีกด้วย แต่เนื่องจาก ผมคิดไปคิดมา ผมคิดว่า ลงทุนเพิ่มขึ้น ไปซื้อ NZR-64 แทนเลยดีกว่า เพื่อความสบายใจว่า จะสามารถรองรับได้ในทุกๆกรณี โดยไม่มีข้อจำกัด และ เฟืองของ NZR-64 ก็มีขนาดใหญ่กว่า Crono ด้วย ผมจึงไม่ได้เลือก Crono ครับ แต่หากท่านใด มีข้อจำกัดทางด้านงบประมาณ จริงๆ ผมว่า Crono ก็น่าสนใจทีเดียวครับ

updated – เห็นว่า ในอนาคต ทางผู้ผลิต จะกำหนดให้ Crono รองรับได้เฉพาะการบดสำหรับ Filter เท่านั้นครับ แต่ตัวแทนในไทยบอกว่า จะสำรองเฟืองสำหรับการบด Espresso เอาไว้ให้เพียงพอ แต่ผมก็ไม่รู้ว่า จะสำรองของเอาไว้ได้นานสักเท่าไร ก่อนของจะหมดครับ

Lagom P64
ราคาสูงเกินงบครับ ผมจึงไม่ได้เช็ครายละเอียด อะไร เกี่ยวกับเครื่องบดรุ่นนี้เลย แต่หากว่า ท่านใด ไม่มีปัญหาเรื่องงบประมาณ ก็อาจจะพิจารณาดูได้ครับ และ ถึงเครื่องตัวนี้จะมีราคาสูงค่อนข้างมาก แต่… ก็ขอให้เช็คข้อมูลให้ดีนะครับ เพราะ ผมเห็นผู้ใช้รายงาน ปัญหาในการใช้งานมาพอสมควร แต่ผม ไม่ได้ตามไปอ่านรายละเอียด เพราะไม่เคยคิดจะซื้อมาใช้ครับ ดังนั้นหากสนใจ ก็ไปค้นหาข้อมูลเองนะครับตาม webboard เกี่ยวกับ กาแฟ ของผู้ใช้ที่เมืองนอกครับ จะมีข้อมูลดีๆ อยู่มาก

สำหรับ Zentis NZR-64 เครื่องบดที่ผมเลือกใช้นั้น เป็นเครื่องที่ผลิตในประเทศจีน และ มีการขายไปทั่วโลก ภายใต้ชื่อยี่ห้อ ชื่อรุ่นต่างๆกันไป ส่วนใหญ่ เขาจะเรียกกันว่ารุ่น DF-64 ครับ แต่ในไทย จะเป็นยี่ห้อ Zentis และ มีชื่อรุ่นว่า NZR-64

ข้อดีของ NZR-64 นั้นคือ มีราคาถูกกว่าอีกสองเครื่องครับ คือราคาประมาณ 16,000 บาท (รวมค่า upgrade ไปเป็น เฟืองของ SSP Red Speed Espresso แล้ว หากใช้เฟืองของ Zentis เอง ราคาจะถูกลงไปอีกครับ) ซึ่งผมคิดว่า NZR-64 น่าจะเป็น เครื่องบดแบบ Single Dose ที่มีราคาถูก และคุ้มค่าที่สุดแล้วครับ เพราะถูกกว่า Niche หรือ Eureka ประมาณเท่าตัวเป็นอย่างน้อยครับ

ทางด้านคุณสมบัติของมัน ก็สู้กับเครื่องที่มีราคาสูงกว่าได้สบายๆ ให้รสชาติของกาแฟ ที่สู้กับเครื่องราคาสูงกว่าได้ (ตามรีวิวที่ผมได้ดูมา) NZR-64 ใช้มอเตอร์ขนาดใหญ่มาก มอเตอร์มีขนาดใหญ่เท่าๆกับ ลำตัวของมันเอง เรียกว่า ประมาณ 70-80% ของขนาดเครื่อง เป็นมอเตอร์ล้วนๆ และ ส่วนประกอบต่างๆ เท่าที่เห็นข้างใน ใช้วัสดุที่มีความแข็งแรงครับ ไม่ได้ใช้ฟันเฟืองพลาสติก เหมือน Niche Zero

NZR-64 อาจจะมีข้อจำกัดบางด้าน แต่บางอย่างก็แก้ไขได้ครับ ลองดู ข้อเสียต่างๆของ NZR-64 ได้จาก คลิปข้างล่างนี้ ซึ่งผู้รีวิว ยังชอบ Niche Zero มากกว่า NZR-64 อยู่ ซึ่งปัญหาใหญ่ที่สุดของ NZR-64 คือ ปัญหาการจับตัวเป็นก้อนของผงกาแฟ ตรงตัว declumper และ ปัญหาอื่นๆ เล็กๆน้อยๆ หลายๆจุด



แต่ผมเองคิดว่า มีทางแก้ไข ข้อเสียต่างๆได้ ผ่านชุด modify ครับ ผมจึงตัดสินใจเลือก NZR-64 มาใช้ไปก่อน… แล้วรอดูว่า ปีหน้า… การรีวิวของ Eureka Single Dose จะออกมา ดีเลว มากน้อย เพียงใดครับ หากมันดีมากจริงๆ ผมค่อยขาย NZR-64 แล้วไปซื้อ Eureka Single Dose มาใช้ทีหลังก็ได้ครับ

updated

มีบทความแนะนำของผู้ใช้รายหนึ่งทำไว้ ทำมาได้ดีมากครับ แนะนำให้เข้าไปอ่านกันทุกๆคนนะครับ
https://antoinevautherot.medium.com/g-iota-df64-solo-turin-review-d64e61b8fa4

วิธีป้องกัน การปีนเกลียวของ NZR-64

ตอนที่รับเครื่องมา ก่อนที่จะหมุนคลายเกลียว เพื่อถอดฝาครอบออกมาให้ค่อยๆหมุนทวนเข็ม ช้าๆ และ ให้สังเกตุเลข 0 ว่า มาถึงจุดใด ตอนที่ ฝาครอบจะหลุดพ้นเกลียวออกมา ให้จดไว้ เป็นตำแหน่งที่จำได้ง่าย เช่น หลุดออกมาที่ตำแหน่ง 14.00 นาฬิกา เป็นต้น

เมื่อจะติดตั้งฝาครอบ กลับเข้าที่ ให้วางฝาครอบ โดยให้เลข 0 อยู่ในตำแหน่งก่อนหน้า ที่เราจดไว้แล้ว เล็กน้อย เช่นหากจดไว้ว่า ที่ตำแหน่ง 14.00 น. ก็ให้วางเลข 0 อยู่ที่ตำแหน่งประมาณ 13.30 น. เป็นต้น

หลังจากนั้น กด กระบอกที่เฟืองตัวบนติดตั้งอยู่ ให้จมลงไป แล้วจึงค่อยๆหมุนฝาครอบตามเข็มอย่างช้าๆ และเบาๆ อย่าใช้แรงกด หากว่า รู้สึกติด ก็อย่าฝืน ให้ถอยหลัง แล้วปรับตำแหน่งให้ฝาครอบ อยู่ในแนวระนาบ แล้วจึงลองหมุนเข้าไปใหม่ อย่างช้าๆ และ เบาๆ เช่นเดิม หากไม่ปีนเกลียว ฝาครอบ จะหมุนเข้าที่ได้โดยง่าย

ด้วยวิธีนี้จะทำให้ฝาครอบไม่ปีนเกลียว และ จะหมุนเข้าไปตามเกลียวได้โดยง่าย

ขอให้ระวัง การปีนเกลียว เพราะอาจจะไม่อยู่ในประกัน และ จะทำให้เกิดปัญหาใหญ่ ในการใช้งาน NZR-64 ได้ครับ

Updated
จากที่ได้ใช้งานมาเรื่อยๆ ผมพบว่า การปรับเบอร์บดของ NZR-64 ยังปรับเบอร์บดได้ไม่ละเอียดพอ เท่าที่ผมต้องการครับ ทีแรกใช้กับ Flair 58 ผมไม่รู้สึกอะไร แต่พอเปลี่ยนมาใช้ Decent DE-1 Pro แล้ว ผมพบว่า ในการ dial in นั้น การปรับเบอร์บดของ NZR-64 ยังไม่ละเอียดเพียงพอ ทำให้ พอปรับแล้ว มันก็น้อยไปบ้าง มากไปบ้าง การปรับต้องใช้วิธีกะๆเอา ซึ่งจริงๆแล้ว ผมต้องการให้การปรับเบอร์บดนั้น ละเอียดไปได้ถึง ทศนิยม 1 ตำแหน่ง

ผมกำลังรอดู รีวิว ของ DF-64P ซึ่งเป็นรุ่นใหม่ที่ออกแบบมาสำหรับบดให้ Espresso เป็นหลัก ซึ่งเบอร์บดนั้น จะปรับได้ละเอียดกว่า DF-64 เยอะ แต่ข้อจำกัดคือ มันมีระยะปรับเบอร์บดที่จำกัดมาก ดังนั้น จึงไม่สามารถจะเอาไปบดกาแฟ สำหรับการ Drip ได้ ต้องบดมาสกัด Espresso อย่างเดียวเท่านั้น

หากรีวิว ออกมาดี ผมอาจพิจารณา ซื้อ DF-64P มาใช้งานแทนครับ ส่วน DF-83 หรือ DF-100 นั้น ผมคงไม่ได้สนใจเท่าไร เพราะผมใช้เป็น Home use ผมยังนึกไม่ออกว่า ใช้เฟืองใหญ่ขึ้น แล้วผมจะได้ประโยชน์อะไร ส่วนการปรับรอบมอเตอร์นั้น ปรับได้ก็ดี แต่หากปรับไม่ได้ ก็ไม่น่าจะเป็นอะไร อย่างไรก็ตาม ผมจะค่อยๆศึกษาทางเลือกไปเรื่อยๆ ซึ่งแน่นอนครับ ผมจะค้นข้อมูลจากต่างประเทศเท่านั้น ผมไม่อ่านความเห็นของผู้รีวิวคนไทย หรือ พวกพ่อค้าคนไทย หรือ พวกหน้าม้าคนไทย ที่ปั่นกระแส ตามกลุ่มต่างๆแน่นอน เพราะมันเชื่อถืออะไรไม่ได้เลยครับ

สรุป
สำหรับเครื่องบด Single Dose ในเวลานี้ ผมแนะนำ แค่ 2 เครื่องครับ คือ

1. Niche Zero ข้อดีคือ ทำงานได้ดี โดยไม่ต้อง modify ปรับแต่ง ข้อเสีย คือ ราคาเครื่องหิ้วในไทยแพงเกินเหตุ จากราคา 2 หมื่น กลายมาเป็น เกือบ 4 หมื่นในไทย ไม่มีตัวแทนในไทย มอเตอร์เล็ก part บางส่วนเป็นพลาสติก

ทางด้านคุณภาพ รสชาตินั้น ผมเห็นรีวิวที่แสดงความเห็นว่า Niche Zero สู้ DF-64 ไม่ได้ครับ ซึ่งเป็นความเห็นที่แตกต่างไปจากความคิดเห็น และ ความเชื่อทั่วๆไปที่เกิดขึ้นในเมืองไทย

2. Zentis NZR-64 ข้อดี คือ ราคาประหยัดคุ้มค่าที่สุด ทำงานได้ดี มอเตอร์ใหญ่ ชิ้นส่วนเป็นโลหะ มีตัวแทนในไทย เปลี่ยนเฟืองเป็น SSP ได้ ข้อเสียคือ ต้อง modify ปรับแต่ง โดยที่ปัญหาใหญ่ที่สุดคือ ปัญหา Declumper อุดตันครับ แต่ก็ไม่ได้แก้ไขยากเกินไป ทุกๆคนน่าจะทำได้ครับ และปัญหารองลงมา สำหรับคนที่ชงเฉพาะ Espresso คือ การปรับเบอร์บด ที่ยังปรับได้ไม่ละเอียดพอครับ

ส่วนเรื่องรสชาติของกาแฟที่ได้ ความเห็นแตกต่าง หลากหลายครับ ทั้งสองเครื่อง ต่างมีกองเชียร์ของตัวเองทั้งสองฝ่ายครับ สำหรับในเมืองไทยนั้น หากคิดเรื่องความคุ้มค่า Zentis NZR-64 ชนะขาดครับ เพราะถูกกว่ากัน เกือบครึ่งต่อครึ่ง