ความเห็นของผมต่อรีวิว Flair 58 ของ James Hoffmann

James Hoffmann ได้ทำการรีวิว Flair 58 มาเมื่อวาน James เป็น คนรีวิวที่ผมชอบนะครับ เขารีวิวได้ดี และ ตรงไปตรงมา มีเนื้อหา และ เหตุผลที่ดี แต่… ไม่จำเป็นที่ผมจะต้องเห็นด้วยกับเขาเสมอไป

สำหรับ Flair 58 ผมคิดว่า เราเห็นตรงกันว่า ที่ระดับราคานี้ จะหา Espresso Machine ที่ทำได้ในระดับเดียวกันกับ Flair 58 ได้ค่อนข้างยาก และ Espresso ที่ได้มาจาก Flair 58 นั้น อยู่ในระดับที่ดี และ ผมเองเห็นว่า มันสู้กับ Espresso Machine ราคาแพงๆได้ครับ

แต่… สิ่งที่ผมเห็นด้วย และ ไม่เห็นด้วยกับ James สำหรับประเด็นที่เขาติติงเอาไว้ จะมีดังนี้ครับ

1. ตัวหม้อแปลง และแผงควบคุม ดูไม่สวย ดูคุณภาพต่ำ เหมือนของเกรดราคาถูกๆ
ประเด็นนี้ ผมเห็นด้วยครับ โดยเฉพาะตัวหม้อแปลง ดูเหมือนหม้อแปลงของอุปกรณ์ไฟฟ้า ราคาถูกๆ ผลิตมาจากพลาสติกเกรดต่ำ ทั่วๆไป มีขนาดค่อนข้างใหญ่ ดูเกะกะ น้ำหนักก็เบาๆ ประเด็นนี้ หากจะปรับปรุง คงต้องทำให้ได้เหมือนหม้อแปลงของ Computer Apple สมัยก่อน ที่ทำมาได้ หรู ดูดี ดูแพง มาก แต่หากว่า ทำเช่นนั้น ก็คงต้องเพิ่มต้นทุนการผลิตขึ้นมาพอสมควรทีเดียว

ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ผมไม่ค่อยให้ความสำคัญว่า มันจะสวย หรู ดูดี หรือไม่ ?
สิ่งที่ผมคาดหวังคือ การทำงานที่ทนทาน อายุยืนยาว ไม่เสีย ไม่จุกจิก
หม้อแปลงไม่พัง แผงควบคุม ไม่เสีย ขอเท่านี้ ผม ok ครับ

ซึ่งเรื่องนี้ ผมยังไม่ทราบ เพราะยังใช้งานไม่นานพอ เรื่องนี้ คงเป็นเรืองการใช้งานในระยะยาวครับ จึงจะบอกได้

2. ลำดับการต่อสายไฟ ที่จะต้อง ต่อให้ถูกลำดับ ขั้นตอน มิฉนั้น อาจจะเกิดความเสียหาย
ตรงนี้ ผมก็เห็นด้วยว่า น่าจะสามารถออกแบบให้ดีกว่านี้ อย่างไรก็ตาม มันก็ไม่ได้ยากอะไรนักครับ ในการจดจำ คือจำง่ายๆว่า ก่อนที่จะเสียบขั้วต่อในจุดที่ 2 ให้ดูว่า จุดต่อที่ 1 ซึ่งเป็นแบบมีขั้วต่อ pin และยึดด้วยการหมุนปลอกพลาสติก ได้ต่อไว้แล้วหรือยัง จึงค่อยต่อจุดต่อที่ 2 ซึ่งเป็นจุดต่อที่ง่ายกว่า เพียงเสียบเข้าไปเฉยๆ จำไม่ยากครับ

และ… อีกอย่างหนึ่งคือ ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม หากเราไม่เสียบ ปลั๊กไฟของ Flair 58 เข้าที่เต้ารับผนัง ก็จะไม่มีปัญหาอะไรเลย ดังนั้น ก็อาจจะจำแค่ง่ายๆว่า ก่อนจะทำอะไรก็ตาม ดึงปลั๊กออกจากผนัง ก็พอครับ แล้วทุกอย่างจะปลอดภัย ต่อให้ทุกอย่างให้เรียบร้อย แล้วค่อยเสียบปลั๊กเข้าผนัง เพียงเท่านี้เองครับ จำไม่ยาก….

3. การออกแบบที่แยกออกเป็นส่วนๆ ไม่ยึดแผงควบคุม และ หม้อแปลง เข้ากับตัวเครื่อง
ประเด็นนี้ ผมกลับไม่เห็นด้วยเลยครับ ผมคิดว่า การแยกออกเป็นส่วนๆนั้น ดีอยู่แล้วครับ สิ่งที่ James ต้องการ นั่นคือ แปลง Flair 58 ให้มีสภาพคล้าย Espresso Machine ทั่วๆไป ที่เป็น single unit ให้ compact และ สวยงาม ซึ่งจริงครับ หากทำได้ มันก็สวย หรู ดูดีกว่า

แต่… ผมคิดว่าจุดขายของ Flair 58 คือ ความง่ายในการดูแล รักษา และ ซ่อมแซม
การออกแบบให้หม้อแปลง และ แผงควบคุม ติดยึดกับตัวเครื่อง นอกเหนือจะต้องระวังเรื่องความร้อน และ ของเหลว ที่อาจกระจาย หกเลอะเทอะมาโดนได้แล้ว… เกิดหากว่า มันเสียขึ้นมา จะซ่อมแซม เปลี่ยนอะไหล่ กันยังไงครับ ?

จากเครื่องที่ดูแลง่ายๆ มันจะกลายเป็น Espresso Machine ที่ดูแลยาก ซับซ้อน และ เสียค่าใช้จ่ายสูง ในการบำรุงรักษา

ในแนวทางการออกแบบปัจจุบัน ที่เราถอดทุกอย่างออกได้เป็นส่วนๆ หากว่า ส่วนไหนเสีย เราก็ส่งเฉพาะส่วนนั้นไปซ่อมก็ได้ครับ ไม่ต้องยกไปทั้งเครื่อง หรือ หากเกิดว่ามันซ่อมไม่ได้ เราก็ซื้ออะไหล่ใหม่ เฉพาะใน part ส่วนที่เสียได้ โดยไม่ต้องซื้อใหม่ทั้งเครื่อง เราไม่ต้องตามช่างมาทำให้ เราทำเองได้ ทุกอย่าง มันง่ายกว่า และ ประหยัดกว่าครับ

ดังนั้น ในประเด็นนี้ ผมจึงไม่เห็นด้วยกับ James เลย ผมคิดว่า แนวคิดในปัจจุบัน ดีอยู่แล้วครับ เพราะหากว่า ผมต้องการอะไรให้มันหรูดูดีขนาดนั้น ผมก็คงต้องยอมไปจ่ายแพงๆ ซื้อพวก Decent มาใช้ครับ สวย หรู ดูดี แน่ แต่ทุกอย่างซับซ้อนกว่าเยอะครับ และ เสียทีหนึ่ง ไม่ใช่เรื่องสนุกแน่ๆครับ

4. สายต่อเกะกะ รุงรัง ไม่สวย จัดวางลำบาก
อันนี้จริงครับ แต่สำหรับผมเอง ประเด็นนี้ ไม่ใช่ปัญหา เพราะผมวาง Flair 58 บนโต๊ะ อยู่กับที่ และ ไม่เคยมีการเคลื่อนย้ายเครื่องไปไหน มันวางตรงไหน มันก็จะอยู่ตรงนั้น ดังนั้น ผมจึงจัดการ มัดสาย และ จัดระเบียบสาย และ วางตำแหน่งของหม้อแปลง และ แผงควบคุม ให้สะดวกต่อการใช้งานของผม

จริงครับ อาจจะดูไม่ค่อยสวย เนี๊ยบ ดูหรูหรา อะไร แต่มันก็เป็นระเบียบ เรียบร้อยดี และ ไม่มีปัญหาในการใช้งานใดๆเลยครับ ดังจะเห็นได้จากรูปข้างล่างนี้ครับ

Updated – ผมไปซื้อ cable box มาใช้เพื่อซ่อน หม้อแปลง ของ Flair และ เอาไว้เก็บ อุปกรณ์จุกจิกต่างๆ ไว้ในกล่องนี้ ตามภาพข้างล่างครับ ซึ่งก็ช่วยซ่อนความน่าเกลียดของหม้อแปลง และ ช่วยจัดระเบียบให้ทุกอย่าง เรียบร้อยมากขึ้น และ ใช้งานได้ดีขึ้นด้วยครับ

ส่วนประเด็นอื่นๆนั้น ผมก็ไม่ทราบเหมือนกัน เช่น ประเด็นเรื่องอุณหภูมิ ส่วนบน ไม่เท่ากับส่วนล่างของเครื่อง หรือ ประเด็นการควบคุมอุณหภูมิ ให้ตรงเป๊ะๆ เพราะผมไม่ได้มีอุปกรณ์ ที่จะทดลอง และ ผมคงไม่ได้สนใจจะทดลองด้วยครับ

คือหากว่า ต้องการจะควบคุมอะไรขนาดนั้นจริงๆ คงต้องซื้อ Espresso Machine ราคาหลักแสนมาใช้งานแทนแล้วละครับ ถ้าแบบนั้น น่าจะทำได้แน่ เพราะมีตัวควบคุมทุกๆอย่างได้โดยละเอียด แต่ ก็ต้องแลกด้วยเงินจำนวนมากกว่า ค่าตัวของ Flair อย่างต่ำ 4-5 เท่า และ แลกมาด้วยค่าบำรุงรักษา ซ่อมแซม ดูแล ที่ยากกว่า และ แพงกว่า Flair แน่นอน

และในแง่ของอายุการใช้งาน ผมอยากจะเชื่อว่า Flair จะใช้งานได้คงทน ยาวนานกว่า Espresso Machine ครับ เพราะซับซ้อนน้อยกว่ามากครับ

สุดท้าย… ผมยังคิดว่า James Hoffmann เป็นนักรีวิวที่ดีมาก และ ผมยังคงติดตามดูเขาอยู่เสมอ หลายๆครั้ง ผมอาจคิดไม่ตรงกับเขา ทั้งกรณีของ Flair 58 หรือ Zentis NZR-64 (DF-64) แต่ผมคิดว่า เขาให้ข้อคิดที่ดี ข้อติติงที่ดี แง่มุมที่ดี มีความละเอียดในการรีวิวสินค้า มีเหตุผล มีประเด็น มีเนื้อหาที่ดี และ วิจารณ์ได้ตรงไปตรงมา

ซึ่งผมหาคุณภาพการรีวิวแบบนี้.. ในนักวิจารณ์ชาวไทย (บางคน) ไม่ได้ ซึ่งรีวิวมาได้ ไร้คุณภาพ ไร้เนื้อหา สาระ โดยสิ้นเชิง ไม่กล้าวิจารณ์ ไม่กล้าแสดงความเห็น ไม่กล้าพูดถึงข้อติติง หรือ จุดอ่อน ของผลิตภัณฑ์ ที่ตัวเองรีวิว ทำรีวิวออกมาแล้ว เหมือนเป็นโฆษณาชวนเชื่อ… ดูแล้ว ผมต้องสั่ง youtube ให้ซ่อน channel นั้นๆ อย่าได้เสนอหน้ามาให้ผมเห็นอีกโดยเด็ดขาด เพราะรำคาญสุดๆ

ทั้งหมดนั่น ก็เป็นประเด็นต่างๆที่ผม ทั้งเห็นด้วย และ ไม่เห็นด้วยกับ James Hoffmann ผมก็หวังว่า Fliar จะปรับปรุงวัสดู คุณภาพของ Flair 58 ให้ดีขึ้นไปเรื่อยๆในอนาคตครับ และจากการใช้งาน Flair 58 มาจนถึงวันนี้ หากถามผมว่า ให้ผมตัดสินใจซื้ออีกครั้ง ผมจะเลือกอะไร คำตอบ คือ..

ผมก็จะเลือกซื้อ Flair 58 เหมือนเดิมครับ